เมื่อเร็วๆนี้ “เจ้าหญิงชาร์ลีน” ทรงพยายามสยบข่าวลือเรื่องเตียงหัก ที่แพร่สะพัดมาต่อเนื่องหลายเดือน ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น ของแอฟริกาใต้ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพักฟื้นจากการผ่าตัด รู้สึกเสียใจมากที่ไม่สามารถขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับโมนาโก ทั้งๆที่คิดถึงสามี, ลูกๆ และสุนัขมาก การได้คุยทางไกลกันทุกวันช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาก และนับวันรอที่จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง
สำหรับอาการป่วยที่หู, คอ และจมูก ซึ่งรุนแรงหนักถึงขั้นต้องผ่าตัดด่วนที่แอฟริกาใต้ เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหญิงสันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากการผ่าตัดยกเยื่อบุผนังไซนัสและเสริมกระดูก เพื่อฝังรากฟันเทียม ซึ่งทำไว้ตอนอยู่โมนาโก ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ก่อนเดินทางมาแอฟริกาใต้ เพื่อร่วมรณรงค์อนุรักษ์สัตว์ป่าในกลางเดือนเดียวกัน โดยอาการปวดหูอย่างรุนแรงเริ่มส่งสัญญาณในช่วงต้นเดือน มิ.ย. จนต้องตัดสินใจยกเลิกการเดินทางกลับมาร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี การอภิเษกสมรส ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ “เจ้าหญิงชาร์ลีนแห่งโมนาโก” ทรงหนีออก จากวังหลวง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข่าวลือสะพัดถึงสัมพันธ์ง่อนแง่นระหว่างเจ้าหญิงกับพระสวามีผู้มากรัก “เจ้าชายอัลแบร์ที่สองแห่งโมนาโก” ย้อนไปในช่วงก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรส เมื่อปี 2011 เจ้าหญิงก็เคยหนีออกจากวังหลวงมาแล้ว แม้สุดท้ายจะตามตัวกลับมาเป็นเจ้าสาวได้ทันเวลา แต่ระหว่างเข้าพิธีเจ้าหญิงนักว่ายน้ำกลับดูหมองเศร้าและน้ำตารื้น ขณะที่ “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไม่ลงรอยกันคือ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 “เจ้าหญิงชาร์ลีน” เคยรับสั่งเป็นนัยๆว่า ปี 2019 เป็นปีแห่งความเจ็บปวด พอผ่านมาถึงปี 2020 ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น อดีตนักว่ายน้ำโอลิมปิกจากแอฟริกาใต้ที่กลายเป็นซินเดอเรลล่า ยอมรับว่าต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆมากมายในปี 2020 จนอยากจะลบออกจากความทรงจำ!!
แม้จะไม่ระบุชัดว่าเจ็บช้ำเรื่องใด จนต้องลุกขึ้นมาไถผมสั้นกุดเป็นสาวพั้งก์ และเก็บกระเป๋าไปปักหลักอยู่ในแอฟริกาใต้อย่างไม่มี กำหนด แต่สื่อใหญ่ทั่วยุโรปต่างขุดคุ้ยตรงกันว่า สาเหตุของรอยร้าวครั้งนี้น่าจะมาจากข่าวฉาวล่าสุด ที่ “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงถูกฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรอีกครั้ง คราวนี้เป็นหญิงนิรนามชาวบราซิล อ้างว่ามีบุตรสาว วัย 15 ปี กับประมุขโมนาโก ซึ่งขณะนั้นเจ้าชายทรงเป็นแฟนกับเจ้าหญิงแล้ว แต่ทั้งคู่ยังไม่ได้อภิเษกสมรสกัน
ก่อนหน้านี้ ประมุขแห่งโมนาโกทรงเคยโดนฟ้องในคดีลักษณะเดียวกันมาแล้ว 3 ครั้ง โดยลงเอยด้วยการตรวจดีเอ็นเอ และยอมรับในที่สุดว่า 2 ใน 3 เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ จนถึงขณะนี้ทรงให้การอุปถัมภ์ลูกนอกสมรสอยู่ 2 คน ลูกสาวคนแรกเกิดจากสัมพันธ์กับ “ทามารา โรโทโล” นายหน้าอสังหาฯชาวอเมริกัน ส่วนลูกชายคนที่สองเป็นพยานรักระหว่างเจ้าชายกับแอร์โฮสเตสผิวสีสายการบินแอร์ฟรานซ์ “นิโคล คอสท์” ที่เรื่องมาแดงเมื่อปี 2005 ไม่กี่วันก่อนเจ้าชายเข้าพระราชพิธี บรมราชาภิเษก
ไม่แปลกที่ในยามทุกข์ใจเจ้าหญิงจะคิดถึงบ้านเกิดและอยากกลับไปพักใจในอ้อมอกอุ่นๆของครอบ ครัว งานนี้แม้ประมุขแห่งโมนาโกจะลงทุนบินไปเยี่ยมพระชายาถึงแอฟริกาใต้ และโพสต์รูปคู่ลงอินสตาแกรม กระนั้น แมงเม้าท์แอบจับผิดว่าทั้งคู่ดูฝืนๆไม่สนิทใจที่กอดกัน เมื่อปี 2020 “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงเป็นผู้นำประเทศรายแรกของโลกที่ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เจ้าหญิงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาที่พักรักษาตัวนานหลายเดือน
หลายปีมานี้ ภาพของ “เจ้าชายเพลย์บอย” ได้ค่อยๆถูกลบทิ้งไป เหลือเพียงความเป็นแฟมิลี่แมน โดยแม้จะปกครองราชรัฐเล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 40,000 คน แต่ประมุขโมนาโกก็ทรงเป็นกษัตริย์รวยที่สุดอันดับ 10 ของโลก มีสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นเจ้าของที่ดิน 1 ใน 4 ของประเทศ ทรงเน้นย้ำเสมอถึงความสำคัญในการสร้างคอนเนกชันผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนานาประเทศ และผู้ทรงอิทธิพลด้านต่างๆของโลก โมนาโกไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ คิดใหญ่ทำใหญ่ฝันใหญ่ แต่ควรโฟกัสที่ความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลัก ด้วยวิสัยทัศน์เช่นนี้ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นประมุขโมนาโก เมื่อปี 2005 จึงได้ครองใจประชาชนเสมอมา
น่าเสียดายมีเพียงความด่างพร้อยเดียวเท่านั้น ที่ตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิก.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ