“คล็อปป์” ล้างอาถรรพ์ “ฟีร์มิโน่” เหมาคนเดียว 2 ประตู “ซาลาห์” ซัดปิดกล่อง พา ลิเวอร์พูล พลิกแซง แมนฯ ยูไนเต็ด 4-2 เก็บสามแต้มสำคัญขยับขึ้นที่ 5 ไล่จี้เชลซี เหลือ 4 คะแนน และแข่งขันน้อยกว่า 1 นัด เปิดโอกาสแย่งตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซีซั่นหน้า
ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 เป็นเกมแดงเดือดนัดตกค้าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
“ผีแดง” ของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ลงเล่นเป็นเกมที่ 4 ในรอบ 8 วัน โดยเกมที่แล้วส่งสำรองยกชุดพ่ายคาบ้านให้กับ เลสเตอร์ ซิตี 1-2 รั้งรองจ่าฝูงหมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นที่แน่นอนแล้ว ขณะที่ “หงส์แดง” ของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่รั้งอันดับ 6 ของตาราง เกมล่าสุดเปิดบ้านเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-0 ยังมีลุ้นที่จะคว้าพื้นที่อันดับ 4 เพื่อไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลหน้า
โดยก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มถือว่ามีปัญหาเล็กน้อยเมื่อแฟนบอลของทีม “ปีศาจแดง” เดินทางมาตั้งกลุ่มประท้วงเพื่อขับไล่ “ตระกูลเกลเซอร์” มหาเศรษฐีชาวอเมริกันให้ออกจากการเป็นเจ้าของสโมสร แต่สุดท้ายไม่มีอะไรบานปลาย และนักเตะของทั้งสองทีมสามารถเดินทางมายังสนามได้ตามเวลาที่กำหนด
เริ่มเกมมาเพียง 10 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกนำอย่างรวดเร็ว 1-0 จากจังหวะที่ อารอน วาน-บิสซาก้า หลุดมาในกรอบเขตโทษ ไหลกลับมาให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส ยิงไซส์ก้อยบอลไปแฉลบนาธาเนียล ฟิลลิปส์ เข้าประตูไป ทำให้ห้องเครื่องชาวโปรตุกีส ซัดไปแล้ว 28 ประตูในทุกรายการให้กับ “ผีแดง” ซีซั่นนี้ ทำลายสถิติเดิมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด สำหรับผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลที่เคยทำเอาไว้ 27 ประตู
นาทีที่ 27 ลิเวอร์พูลเกือบจะได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ เอริค ไบญี่ เข้าสกัด นาธาเนียล ฟิลลิปส์ ล้มลงในกรอบเขตโทษ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ชี้ให้เป็นจุดโทษ แต่เมื่อไปดูภาพ VAR เห็นว่า เอริค ไบญี่ สกัดโดนบอลก่อน จึงเปลี่ยนคำตัดสินไม่ให้เป็นจุดโทษ
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลมาตามตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 34 จากจังหวะลูกเตะมุมมาขลุกขลิกหน้าประตู นาธาเนียล ฟิลลิปส์ ตวัดบอลไปให้ ดิโอโก้ โชต้า ไขว้ยิงหนีมือดีล เฮนเดอร์สัน เข้าไป
ช่วงท้ายครึ่งแรก น.45+3 กลายเป็น “หงส์แดง” ที่แซงนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ โหม่งเข้าไป และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมา มาได้ประตูหนีห่างเป็น 3-1 อย่างรวดเร็วในนาทีที่ 47 จากการยิงของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หัวหอกชาวบราซิเลียน เป็นประตูที่สองของตัวเองในเกมนี้
นาทีที่ 68 แมนฯ ยูไนเต็ด ตีตื้นไล่มาเป็น 2-3 จากจังหวะที่ เอดินสัน คาวานี่ จ่ายให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้ามาในเขตโทษ ก่อนยิงด้วยซ้ายผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไป ถือเป็นการซัดประตูลิเวอร์พูลลูกที่ 5 ของแรชฟอร์ดในการเจอกับ “หงส์แดง” 5 นัดหลังสุด และเป็นประตูที่ 50 ของตัวเองในการลงเล่นที่รังโอลด์ แทรฟฟอร์ด
นาทีที่ 90 แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ดันหลังขึ้นสูงเพื่อทำประตูตีเสมอ โดนลูกสวนกลับของ ลิเวอร์พูล เล่นงาน ทำประตูขยับห่างเป็น 4-2 จากจังหวะที่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ได้บอลตั้งแต่บริเวณครึ่งสนาม ลากเข้าไปในกรอบเขตโทษ แปด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเยือกเย็น เป็นประตูที่ 21 ของดาวยิงทีมชาติอียิปต์ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เทียบเท่า แฮร์รี่ เคน หัวหอกท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์
ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำอะไรกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึงถิ่น 4-2 ถือเป็นการพาทีมมาเอาชนะ “ปีศาจแดง” ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกของ เยอร์เก้น คล็อปป์
จากชัยชนะดังกล่าวส่งผลให้ ลิเวอร์พูล มีเพิ่มเป็น 60 คะแนน จาก 35 นัด ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ไล่จี้เชลซี เหลือ 4 แต้ม และแข่งขันน้อยกว่า 1 นัด ยังได้ลุ้นพื้นที่อันดับ 4 เพื่อคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าต่อไป ส่วน “ปีศาจแดง” ยังคงรั้งรองจ่าฝูง มี 70 แต้ม จาก 36 นัด
รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดีน เฮนเดอร์สัน (GK), อารอน วาน-บิสซาก้า, เอริค ไบญี่, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, ลุค ชอว์, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด, พอล ป็อกบา, บรูโน่ แฟร์นันเดส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เอดินสัน คาวานี่
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบคเกอร์ (GK), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, รีส์ วิลเลียมส์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, ฟาบินโญ่, ติอาโก อัลคันทาร่า, ดิโอโก้ โยต้า, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
————————————
ผลการแข่งขันอีกหนึ่งคู่ในวันนี้
แอสตัน วิลล่า เปิดบ้านเสมอ เอฟเวอร์ตัน 0-0