เผยแพร่: ปรับปรุง:
คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 พ.ค.) เราทราบคู่ชิงชนะเลิศ บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) เรียบร้อยแล้ว เดนเวอร์ นักเก็ตส์ ทีมอันดับ 1 สายตะวันตก เผชิญหน้า ไมอามี ฮีต ทีมวางอันดับ 8 ซึ่งซิวโควตาจากการแข่งขัน เพลย์-อิน ทัวร์นาเมนต์
นักเก็ตส์ ภายใต้การนำของ นิโกลา โยคิช ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 2 สมัย มุ่งมั่นคว้าแชมป์แรกของแฟรนไชส์ ขณะที่ ฮีต อาศัยฟอร์มอันร้อนแรงของ จิมมี บัตเลอร์ ฟอร์เวิร์ดตัวเก๋า ล่าแชมป์สมัยที่ 4 หลังอกหักรอบชิงชนะเลิศ ปี 2020 ที่บับเบิล เมืองออร์แลนโด
เดนเวอร์ กุมความได้เปรียบมหาศาล หลังกวาดซีรีส์ แอลเอ เลเกอร์ส ของ เลอบรอน เจมส์ ซูเปอร์สตาร์ของลีก 4-0 รอบชิงชนะเลิศ สายตะวันตก ขณะเดียวกัน ไมอามี ไม่มีใครคาดคิดว่า กระเสือกกระสนมาไกลเท่านี้ โดยเฉพาะหลังพ่าย แอตแลนตา ฮอว์กส เกมแรกของ เพลย์-อิน และนับจากนั้น พวกเขาสถิติชนะ 13 แพ้ 6 เฉพาะเพลย์ออฟ หลังจบเกม 7 กับ บอสตัน เซลติกส์ รอบชิงชนะเลิศ สายตะวันออก
ครั้นเริ่มเกม 1 เช้าวันศุกร์นี้ (2 มิ.ย.) ตามเวลาบ้านเรา ที่สนาม บอลล์ อารีนา นักเก็ตส์ เจ้าบ้าน ได้พักมา 10 วัน นับเป็นครั้งที่ 4 ตลอด 2 ทศวรรษล่าสุด ซึ่งได้เบรกยาวๆ ก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ต่อจาก ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ปี 2013, โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ปี 2017 กับ 2019 ทีมละ 10 วัน
ด้วยเหตุว่า บอสตัน พลิกสถานการณ์จากตามหลัง 0-3 ตีเสมอซีรีส์ 3-3 ส่งผลให้ เดนเวอร์ มีเวลาพักฟื้นและเตรียมตัวมากกว่า ฮีต 7 วัน จุดนั้นไม่ใช่ข้อได้เปรียบเสียทีเดียว หากเทียบกับทีมที่เล่นมาตลอด เนื่องจากขาดความต่อเนื่อง ผู้เล่นที่ฟอร์มแรงช่วงเพลย์ออฟอย่าง จามาล เมอร์เรย์ การ์ดจ่าย อาจเสียจังหวะได้
ตามสถิติทีมที่ได้พักยาวๆ แล้วลงเล่นเกม 1 ที่บ้านตัวเอง รอบชิงชนะเลิศ ชนะ 8 แพ้ 1 (คิดเป็น 88.9 เปอร์เซ็นต์) สูงกว่าเปอร์เซ็นต์ชนะ 76.3 (ชนะ 58 แพ้ 18) ของเจ้าบ้านเกม 1 ค่อนข้างเยอะ ยิ่งกว่านั้น ทีมที่ได้เปรียบจำนวนเกมเหย้า และชาร์จแบตเตอรีอย่างน้อย 5 วัน ชนะ 8 แพ้ 1 โดย ยูทาห์ แจซซ์ เป็นทีมเดียวที่แพ้ซีรีส์แก่ ชิคาโก บูลล์ส ชุด “the Last Dance” เมื่อปี 1998
ด้าน เอริก สโปลสตรา เฮดโค้ช ไมอามี ต้องหาหนทางหยุด โยคิช ซึ่งแม้กระทั่ง รูดี โกแบร์ต กับ คาร์ล-แอนโธนี ทาวน์ส 2 เซ็นเตอร์ตัวท็อปของลีก, เควืน ดูแรนท์ กับ เดวิน บูเกอร์ และ เลอบรอน เจมส์ กับ แอนโธนี เดวิส ยังทำไม่ได้ การหยุด “เดอะ โจ๊กเกอร์” ถือเป็นความท้าทายอย่างมหาศาลของ NBA ยุคนี้ หลัง เซ็นเตอร์ชาวเซิร์บ ซัดเฉลี่ย 29.9 แต้ม 13.3 รีบาวน์ด 10.3 แอสซิสต์ และกด 8 ทริปเปิล-ดับเบิล เป็นสถิติ NBA เฉพาะเพลย์ออฟ รวม 6 ทริปเปิล-ดับเบิล จาก 8 เกมล่าสุด
ดังนั้น ฮีต ต้องพยายามทะนุถนอม แบม อเดบาโย เซ็นเตอร์ตัวเก่ง อย่าให้ติดปัญหาเสียฟาวล์บุคคล มิฉะนั้น สโปลสตรา จะต้องปวดหัวเนื่องจากแทบไม่เหลือผู้เล่นตัวใหญ่ลงมาต้านทาน โยคิช อาทิ เควิน เลิฟ หรือ โคดี เซลเลอร์ ต่างได้รับโอกาสลงสนามจำกัด และไม่ใช่ตัวที่ฝากความหวังได้
อาวุธของ ไมอามี ที่มิอาจมองข้ามได้ คือ แก๊งผู้เล่นไม่ถูกดราฟต์ เกบ วินเซนต์, คาเล็บ มาร์ติน และ ดันแคน โรบินสัน ต้องรักษามาตรฐานการทำสกอร์ วินเซนต์ ส่องฟิลด์โกลเข้าเป้่า 11 จาก 14 ลูก เกม 3 ของรอบชิงแชมป์สาย และ มาร์ติน ยิงฟิลด์โกล 63.2 เปอร์เซ็นต์ เกม 4 พบ เซลติกส์ และไม่ได้สั่นสะท้านกับแรงเหวี่ยงโมเมนตัมของเกมเพลย์ออฟ หลังทำสกอร์เกม 6 กับ 7 รวมกัน 47 แต้ม
หลังหลุดจากระบบโรเตชันของทีม โรบินสัน กลายเป็นอาวุธเกมบุกคนหนึ่งจากม้านั่งสำรอง ยามขาด ไทเลอร์ เฮอร์โร กับ วิคเตอร์ โอลาดิโป ยิงฟิลด์โกลเกม 2 กับเกม 3 เข้าเป้ารวม 13 จาก 20 ลูก ขณะที่ เฮอร์โร อาจกลับมาช่วย ฮีต รอบชิงชนะเลิศ นับตั้งแต่บาดเจ็บมือขวา เกม 1 พบ มิลวอกี บัคส์ รอบแรก
ตามความเห็นส่วนตัว เชื่อว่า การประกบคู่ระหว่าง แบม กับ โยคิช น่าจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ ซึ่ง เดนเวอร์ พยายามเน้นโจมตี เนื่องจาก โยคิช ได้เปรียบด้านสรีระ และความครบเครื่อง ทั้งโพสต์สูง คอยจ่ายบอลดีง แบม ออกจากพื้นที่ใต้แป้น หรือวงในยังสามารถทับได้อีก ตลอดจนการเลี้่ยงบอลตะลุยเอง ยิ่งเกิด เมอร์เรย์ กับ ไมเคิล พอร์เตอร์ จูเนียร์ 2 ตัวสนับสนุน ยังเป็นตัวอันตรายเหมือนซีรีส์ที่ผ่านมา เดนเวอร์ อาจเช็กบิลได้ไม่เกิน 5 เกม