เผยแพร่: ปรับปรุง:
“เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป” (Fenway Sports Group) ในฐานะเจ้าของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 19 สมัยและแชมป์ยุโรป 6 สมัย แสดงความต้องการขายสโมสร โดยยินดีเปิดรับพิจารณาทุกข้อเสนอที่จะเข้ามา ตามรายงานของสื่อหัวดังทุกสำนักบนเกาะอังกฤษ
แถลงการณ์ของ เอฟเอสจี ระบุชัดเจนว่า “ช่วงที่ผ่านมาสโมสรฟุตบอล พรีเมียร์ลีก มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีข่าวคราวสอบถามเข้ามาที่ต้องการเป็นเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล ซึ่งเราทราบดีถึงความสนใจของบุคคลที่อยากจะซื้อถิ่น แอนฟิลด์ โดยจุดยืนของเราก็คือพร้อมรับพิจารณาผู้ถือหุ้นรายใหม่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องเข้ามาสร้างประโยชน์ให้กับทีม เพราะแน่นอนว่าเราต้องการพาทีมประสบความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม”
ถือเป็นการเผยฐานแท้ของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป” (เอฟเอสจี) กลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล เพราะการจะติดต่อเอเยนต์อย่าง โกลด์แมน แซคส์ และ มอร์แกน สแตนลีย์ ให้ช่วยมองหาเจ้าของทีมรายใหม่นั้น ไม่ได้ทำงานกันเพียงแค่ข้ามคืนอย่างแน่นอน เนื่องจากต้องมีการเตรียมเอกสารอะไรต่างๆ ทั้งหมดใช้เวลารวบรวมเป็นแรมเดือน ดังนั้นเชื่อเลยว่าสิ่งนี้ได้เตรียมการกันมานานแล้ว
เฮนรี่ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องการขายสโมสรไปเลย เพราะทราบดีว่าจำนวนเงินที่ตัวเองและผู้ถือหุ้นต้องการนั้นมหาศาลไม่ใช่ใครที่จะเข้ามาจ่ายได้ง่ายๆ เพื่อเอา ลิเวอร์พูล ไปครอบครองทั้งหมด หรือไม่ก็อาจจะขายหุ้นแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยเป็นการลองเชิงตลาดและมองว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วต่างหาก
เอฟเอสจี เข้ามาเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนตุลาคมปี 2010 ต่อจาก ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ จิลเล็ตต์ สองนักธุรกิจชาวอเมริกัน เมื่อ 12 ปีก่อน ด้วยจำนวนเงินเพียง 300 ล้านปอนด์ (ประมาณ 12,600 ล้านบาท) ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงนั้นทีมไม่ได้ในยุคเรืองอำนาจต้องเป็นรองหลายต่อหลายทีมบนเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แต่การเข้ามาของ เฮนรี่ ก็ต้องชื่นชมในบางส่วน เพราะดึงตัว เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาจนคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ได้เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2019–20 สิ้นสุดการรอคอย 30 ปีเต็มๆ ซึ่งถือว่ายาวนานมากสำหรับทีมใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล รวมถึงได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2018–19 นอกจากนี้ยังลงทุนเนรมิตอัฒจันทร์เมนสแตนด์ขึ้นมาใหม่ และปรับปรุงอัฒจันทร์ แอนฟิลด์ โร้ด สแตนด์ ตลอดจนควักกระเป๋า 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,136 ล้านบาท) ย้ายสนามซ้อมของทีมจาก เมลวู้ด ไปอยู่แห่งใหม่ที่ เคิร์กบี้
คำถามก็คือทำไมถึงอยากขาย ลิเวอร์พูล ก็เพราะ เฮนรี่ คือนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มองเรื่องการลงทุนและเม็ดเงินเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นอีกหลายรายในถิ่น แอนฟิลด์ ที่เมื่อโหวตเสียงกันแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องการขายทีมและมองว่าถึงเวลาแล้วในตอนนี้
มองกันที่ในสนามก่อนปีนี้ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทย่ำแย่ หลังจากฤดูกาลที่แล้วมีลุ้นถึง 4 แชมป์ ตอนนี้รั้งอันดับ 8 มี 19 แต้มจาก 13 นัด ตามหลังอันดับ 4 อันหมายถึงโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 7 แต้ม แม้ว่า “หงส์แดง” จะมีเกมตกค้างในมือ 1 นัดก็ตาม เพราะเมื่อมองจากสถานการณ์แล้วปีนี้มีคู่แข่งถึง 7 ทีมในการลุ้นไป แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยมี นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เพิ่มขึ้นมา เดิมทีมแข่งกันบิ๊ก 6 ก็อยากอยู่แล้ว ดังนั้นหากปีหน้าวืดตั๋ว 1 ใน 4 คิดดูว่าเงินจะหายไปขนาดไหน
หลังๆ การซื้อตัวนักเตะ ลิเวอร์พูล ก็ถูกวิจารณ์หนักพอสมควรว่าไม่ทุ่มเหมือนกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ย้อนไปปี 2018 คือช่วงที่ คล็อปป์ เสริมทัพได้อย่างเข้าตาที่สุดคือได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้ามา โดยได้ใช้เม็ดเงินจากการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ ซึ่งเจ้าของทีมมองว่าแนวโน้มจากนี้ไม่อาจทำแบบนี้ได้บ่อยๆ อีกแล้ว เพราะทิศทางตลาดจะไม่ค่อยมีทีมทุ่มเงินแบบบ้าคลั่งอีกแล้ว
อย่างที่บอกคนเหล่านี้คือนักธุรกิจเมื่อความคาดหวังของอนาคตที่เป็นรายได้มหาศาลนั้นเริ่มห่างไกลกับความแน่นอน พร้อมขยับเข้าไปใกล้ความล้มเหลวอีกด้วย ดังนั้นคาดเดาไม่ได้เลยว่าจากนี้ 5 ลิเวอร์พูล จะไปอยู่ตรงจุดไหน ความหวังฟันเงินจากโปรเจ็คต์ ซูเปอร์ ลีก ก็โดนพักเก็บเข้าลิ้นชักไปแล้วด้วย
นอกจากนี้ผู้ถือหุ้น ลิเวอร์พูล ก็เริ่มที่จะตาโตอยากที่จะขายบ้าง หลังจากเห็น เชลซี ที่ถูกขายไปได้ในราคาสูงถึง 4,250 ล้านปอนด์ โดยเป็น ท็อดด์ โบห์ลีย์ เจ้าอเมริกันที่เข้ามาฮุบต่อจาก โรมัน อบราโมวิช ที่ต้องวางมือไปอันเนื่องมาจากสงคราม รัสเซีย กับ ยูเครน นั่นเอง
ดังนั้นหากใครจะเข้ามาซื้อ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ต้องมีเงินราว 4,000 ล้านปอนด์ตามการประเมิน นอกจากนี้การที่เงินปอนด์อ่อนค่าทำสถิติอ่อนค่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็น่าจะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศไม่น้อย ดูแล้วน่าจะเป็นนักลงทุนอเมริกันที่พร้อมจะซื้อทีมในตอนนี้ ส่วนจีนมองข้ามไปไดด้เลยเนื่องจากรัฐบาลห้างไม่ให้บริษัทลงทุนกับฟุตบอล หรือไม่ก็ต้องมองพวกมหาเศรษฐีแถบตะวันออกกลาง