เรียกว่าเป็นอีกนางเอกคิวฮอต สำหรับ แจมมี่-ปาณิชดา แสงสุวรรณ ที่ตอนนี้มีละครออนแอร์พร้อมกันถึงสองเรื่องทางช่อง 7HD ทั้ง “ป้อมปางบรรพ์” ทุกวันจันทร์ อังคาร เวลา 20.30 น. และ “พยัคฆ์ร้ายนายกุหลาบ” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.45 น. ล่าสุด “ดาวต่างมุม” ได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวสวยคนนี้ ถึงทั้งสองบทบาทสุดท้าทาย รวมทั้งพาแฟน ๆ ไปสำรวจเส้นทางตลอด 10 ปีในวงการบันเทิงของเธอ พร้อมเปิดมุมมองที่แจมมี่มีต่อคำว่า “นางเอกละครหลังข่าวและนางเอกละครเย็น” กะเทาะความคิดเจาะลึกตัวตนของเธอที่แม้ไม่คิดแข่งขันกับใคร แต่ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา และไม่พลาดอัพเดทเรื่องหัวใจที่สาว
แจมมี่ออกปากว่า ณ วันนี้สเปกของเธอนั้นสูงขึ้นด้วย!
คาแรกเตอร์ “คำแก้ว” ใน “ป้อมปางบรรพ์” เป็นยังไง และเตรียมตัวมารับบทบาทครั้งนี้ยังไงบ้าง?
“สำหรับ “คำแก้ว” เป็นสาวชาวบ้านยุคอดีต เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย รักเดียวใจเดียว มั่นคงต่อความรัก ส่วนเรื่องการเตรียมตัว จริง ๆ แจมเล่นละครพีเรียดมาหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้แจมกังวลมาก เพราะนอกจากเป็นพีเรียดแล้วต้องมีการพูดภาษาเหนือ เพราะว่าเรื่องนี้อู้กำเมืองหมดเลย และเราก็ไม่ใช่คนเหนือ เราก็ต้องมีการไปเรียน มีครูฝึกที่คอยอัดเสียงมาให้เราฟังก่อนเข้าฉากด้วย ให้เรามาทำการบ้านก่อน สิ่งที่ซีเรียสที่สุดก็น่าจะเป็นการพูดเป็นภาษาเหนือ มันยากตรงที่ไม่ใช่แค่สำเนียง แจมเป็นคนสุพรรณฯ สำเนียงการพูดก็จะเหน่อ แต่อันนี้คือภาษาที่บางคำมันเปลี่ยนไปเลยค่ะ”
ความท้าทายและสิ่งที่ได้จากการทำงานครั้งนี้คืออะไร?
“ความท้าทายคือในเรื่องเหมือน “คำแก้ว” จะอ่อนแอ แต่จริง ๆ คือสู้คนเหมือนกัน มันสู้ไม่ได้ แต่ก็สู้สุดใจ สิ่งที่แจมได้จากการทำงานครั้งนี้ เป็นการพัฒนาการแสดงของตัวเอง คือบทเรียบร้อยเราก็เคยเล่นมาแล้ว อะไรที่มันจะสามารถพลิกบทบาท คำว่าเรียบร้อยมันเล่นทั่วไปก็ได้ แต่เรื่องนี้อย่างที่บอกภาษาก็ท้าทายมาก มันเหมือนจะง่าย แต่ตัวแจมมีความกังวลอยู่ในนั้นด้วย เพราะภาษามันต้องเป๊ะ ถ้าภาษาได้ บทได้ เราจะไม่กังวลเรื่องแอคติ้งแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ๆ ค่ะ”
อีกบทบาท อย่าง “น้ำหนึ่ง” ใน “พยัคฆ์ร้ายนายกุหลาบ” เรื่องนี้เห็นเล่นเป็นตำรวจ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?
“เรื่องนี้เป็นการบู๊เต็มตัวเรื่องแรกของแจม ก็รับบทเป็น “หมวดน้ำหนึ่ง” เป็นตำรวจสายสืบที่เข้าไปสืบความลับของแก๊งค้ายาเสพติด และหนึ่งในแก๊งค้ายาเสพติดนี้เป็นคนที่ฆ่าพ่อและแม่ของเรา ซึ่งเราเห็นกับตาว่าใครเป็นคนยิงพ่อกับแม่ของเรา สำหรับบทบู๊ครั้งแรกนี้ตอนแรกก็กังวลมาก ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็กและดูไม่มีแรง จะไปต่อยคนตัวใหญ่ ๆ ยังไงให้มันดูแข็งแรง สมจริง แต่โชคดีที่ทางค่าย และผู้กำกับก็มีการส่งคนมาสอนท่า โชคดีที่พี่ ๆ ที่กองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นพี่เบน (สันติราษฎร์ กุลนพเกียรติ) พี่ ๆ ทีมงานนักแสดงทุกคนก็ช่วยว่าท่านี้เหมาะกับเรา ท่านี้เราเตะสวย เขาจะเลือกท่าเตะให้เราเยอะหน่อย และคอยบอกว่าต้องต่อยแบบนี้จะดูแข็งแรง เราก็มีเจ็บตัวบ้าง คนที่เข้าฉากกับเราก็เจ็บ อย่างพี่เบนก็เจ็บตัว เพราะไม่รู้ระยะ เนื่องจากเราก็ค่อนข้างใหม่กับการบู๊ค่ะ”
เห็นรับบทเรียบร้อยมาตลอด ก่อนตัดสินใจรับบทบู๊ คิดนานมั้ย?
“ก่อนหน้านี้คิดนานค่ะ แต่พอมาถึงตอนนี้ เรามองว่าการได้เล่นอะไรที่มันแปลก ๆ ใหม่ ๆ อะไรที่ท้าทายสำหรับเรา เรามองว่าเล่นไม่ได้ แต่ถ้าเราได้ลองทำ ได้ลองทุ่มเทให้เวลากับมันจริง ๆ แจมเชื่อว่าอะไรที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ แต่สุดท้ายถ้าเราให้เวลากับมัน ลองใส่ใจกับมันนิดนึง แจมว่าทุกคนทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามค่ะ”
อย่างบท “น้ำหนึ่ง” ท้าทายยังไง?
“ตั้งแต่เป็นนักแสดงมา อะไรที่ไม่เคยทำในการเล่นละคร ได้มาทำเรื่องนี้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหนีระเบิด แจมว่ายน้ำไม่เป็น ก็ต้องไปที่เขื่อน เพื่อกระโดดว่ายน้ำที่เขื่อนจริง ๆ และมีฉากใต้น้ำ ที่ต้องหลบกระสุนใต้น้ำ อันนี้ก็ต้องไปถ่ายใต้น้ำจริง ๆ หลายซีนมากที่เราไม่เคยถ่ายจากเรื่องไหน ก็ได้มาถ่ายทำเรื่องนี้ ซึ่งเราไม่ถึงกับลงคอร์สเรียนว่ายน้ำ แต่ทางผู้จัดพาเราไปลงสระจริงก่อน ลองดำน้ำ ไปเรียนฝึกการหายใจช่วงก่อนถ่าย และมีการลงน้ำลึกจริง ๆ ค่ะ”
คิดว่าเรื่อง “พยัคฆ์ร้ายนายกุหลาบ” ให้ข้อคิดอะไร?
“ในเรื่องนี้ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในการที่เราจะดำเนินชีวิต ทักษะ ความคิดเราจะเป็นยังไง มันก็เริ่มต้นมาจากครอบครัว คนที่ดูเรื่องนี้ นอกจากความสนุกแล้วข้อคิดที่ได้ก็คือครอบครัว พ่อแม่สามารถพาลูกมานั่งดูได้เลย ก็จะเห็นว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ดีนะ สามารถสอนลูกได้เลยจากละครเรื่องนี้ค่ะ มันไม่ได้เป็นละครที่ซีเรียส และเป็นละครที่สร้างสรรค์ ทำให้ครอบครัวรักกันด้วยค่ะ”
ช่วงนี้มีผลงานออนแอร์พร้อมกันสองเรื่อง รู้สึกยังไงบ้าง?
“ก็ตื่นเต้น คิดว่าคนดูจะเบื่อมั้ยนะ จันทร์ถึงศุกร์เลย ตอนกลางคืนก็มีเราอีกค่ะ แต่ก็โอเค เพราะเราก็หายจากหน้าจอไปเป็นปีเหมือนกัน”
เรื่องนึงเป็นละครหลังข่าว อีกเรื่องนึงเป็นละครเย็น ส่วนตัวมีความรู้สึกว่ามันมีความแตกต่างกันมั้ย?
“สำหรับแจมเล่นละครเย็นมาตลอด ละครกลางคืนก็เล่น ความรู้สึกแจมคิดว่ามันไม่ได้ต่างกัน แต่แค่ว่ากลุ่มคนที่เข้ามาดู อย่างตอนเย็นจะมีเป็นทาร์เกตน้อง ๆ มากกว่า แต่ตอนกลางคืนก็เป็น กลุ่มผู้ใหญ่ที่โตขึ้นมาหน่อย แจมโอเคทั้งสองช่วงเวลา เพราะมันก็เป็นละครที่เรตติ้งดีทั้งคู่ทั้งสองช่วงเวลา”
ไม่ได้ซีเรียสกับคำว่า “นางเอกละครเย็น”?
“ไม่ซีเรียส เพราะเราอยู่กับละครเย็นมาตั้งแต่ต้น ละครกลางคืนเราก็ไม่ได้หายไป ก็ยังได้รับบทบาทที่สำคัญ ๆ ในช่วงเวลานั้นด้วย ตัวแจมโอเคมาก ๆ ค่ะ”
อยู่วงการมา 9-10 ปีแล้ว หลายคนเข้ามาในวงการมักคาดหวังบทนำหรือนางเอก เรามีมุมมองตรงนี้ยังไง?
“ถึงตอนนี้แจมมองว่าการเป็นนางเอก ตัวแจมเป็นนางเอกละครเย็น ก็มองว่ามันดีสำหรับเราแล้ว จะเป็นนางเอกหลังข่าวก็ดี ในแบบของนางเอกหลังข่าว แต่ตัวเราโอเค ทุกบทบาทที่ได้ เราเป็นนักแสดงอย่ายึดติดกับคำว่านางเอกเลย ทั้งเรื่องไม่ได้มีแค่พระเอกหรือนางเอก ตัวรายล้อมก็สำคัญนะ ที่จะทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ แจมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขอให้บทมันท้าทาย มีเราครบทุกตอน เราอยู่ในเส้นเรื่องนั้น เราโอเคหมด ไม่จำเป็นต้องฉันต้องเป็นนางเอกอย่างเดียว มันต้องให้ได้ทุกบทบาท ต้องไปให้ได้หมด เพราะละครหนึ่งเรื่อง ไม่ได้ขับเคลื่อนแค่พระเอกหรือนางเอก แต่ตัวรายล้อมก็เยอะมากเลย ตัวพวกนี้แหละที่จะทำให้พระเอกและนางเอกส่งขึ้นไปค่ะ”
ณ วันนี้มีวิธีรับมือกับดราม่าและเสียงวิจารณ์ยังไง?
“จริง ๆ แจมเป็นคนคิดมากเวลาที่เห็นคอมเมนต์ที่ทำให้เราไม่สบายใจ ตอนนี้ก็พยายามปล่อยเบลอไปเลย และถ้าเห็นว่าเป็นคนนี้อีกแล้ว ก็บล็อกเลย จบ เรามองอะไรที่โพสซิทีฟสำหรับเราดีกว่า ยุคนี้เราไม่สามารถบังคับใครได้ และการที่เขามาคอมเมนต์ บางทีเขารู้แค่นิดเดียว แต่ไม่เห็นตื้นลึกหนาบางของเราเลย ก็วิจารณ์เราไปแล้ว แต่แจมเข้าใจ มันเป็นธรรมชาติ คนชอบเสพดราม่า อะไรที่ไม่ดราม่าก็ไม่เข้ามาดู ก็เข้าใจ”
มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จในวงการแล้วหรือยัง?
“ถ้าเอาตัวเองเป็นหลักในตอนนี้ก็ถือว่าพอใจในระดับนึง แจมไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราต้องไปแข่งขันกับใครแล้ว เราไม่ได้หมดแพสชั่นนะคะ แต่เรารู้สึกยินดีกับคนที่ขึ้นเป็นนางเอกหลังข่าว แต่วันนึงถ้าเรามีโอกาสเราก็ยินดีที่เราจะขึ้นไป แต่ถ้าช่องเลือกให้เราอยู่ตรงนี้เราก็โอเค ก็พอใจในสเต็ปที่เราเป็นค่ะ”
มีอะไรที่อยากพัฒนาอีกมั้ย?
“มีเรื่องบู๊ที่เราไม่เปิดตั้งแต่แรก คิดว่าเล่นไม่ได้ พอได้มาเล่น “พยัคฆ์ร้ายนายกุหลาบ” ก็ทำให้รู้ว่าไม่ได้ยาก ลองพยายามทำดูมั้ย ถือเป็นการปลดล็อกอีกเรื่องที่เราคาใจมานาน พอได้มาพยายามเต็มที่ก็ไม่มีอะไรคาใจ ส่วนเรื่องการพัฒนา เรื่องการแสดงไม่มีวันจบว่าอยู่มา 10 ปี ฉันเก่งแล้ว มันก็ไม่ใช่ ต้องต่อยอดตัวเอง พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ค่ะ”
นิยามคำว่า “ความสำเร็จ” ในวงการ สำหรับ “แจมมี่” คืออะไร?
“น่าจะเป็นมีคนรู้จัก บางคนเขาไม่ได้เป็นพระเอกนางเอกที่มีชื่อเสียง แต่เป็นคนที่เล่นละครแล้วมีคนจดจำเยอะมาก เรียกชื่อตัวละครนั้น แจมว่าแบบนี้คือประสบความสำเร็จ เดินไปไหนก็มีคนทักว่านี่ใช่พี่ “อุษา” รึเปล่าคะ แจมดีใจมากที่ถึงทุกวันนี้ มันผ่านมา 9-10 ปีแล้ว แต่คนเห็นเรายังเรียกเราว่า “อุษา” อยู่เลย ถึงมันเป็นเรื่องแรกและนานมาก แต่คนยังมีภาพจำนั้นกับเราค่ะ เรารู้สึกแฮปปี้มาก ๆ ค่ะ”
ไม่ได้เอาความกดดันไปแขวนไว้กับถ้วยรางวัลหรือชื่อเสียง?
“ไม่ใช่เราไม่พยายามนะ แต่อะไรที่มันพยายามเกินไป มันไม่ใช่จริตเรา ที่เรามี ที่เราเป็นตอนนี้มันดีอยู่แล้ว และถ้าจะดีกว่านี้ เดี๋ยวมันก็มาของมันเอง ถ้ามันไม่มา ก็ถือว่ามันเป็นเรื่องโชคชะตาของเรา แต่อะไรที่เราพยายาม เราตั้งใจ เราเต็มที่กับมันแล้วมันมาก่อนค่อยว่ากัน แต่ถ้าวันนี้เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราทำเต็มที่หรือยัง ทุกวันนี้แจมมองว่าตัวเองทำเต็มที่ เลยไม่ค่อยมีความกดดันในเรื่องการแสดงหรือเรื่องงาน”
อัพเดทหัวใจหน่อย?
“โสดค่ะ ก็ไม่ได้ปิดค่ะ แต่มองว่าถ้ามีคนเข้ามา เดี๋ยวมันก็เข้ามาเอง เหมือนพอเราเริ่มโตก็ไม่ได้มองแค่ว่าหล่อ เราชอบหรือถูกใจ มันก็มีหลายองค์ประกอบที่เรารู้สึกว่า เราจะคบใครสักคนขอคนที่แมตช์กับเราได้มั้ย เพราะว่าเราเริ่มโตแล้ว ไม่อยากคบไปเรื่อย ไม่ดีก็เลิก และแจมมีเรื่องครอบครัวให้โฟกัส การดูแลคุณพ่อ อยากโฟกัสตรงนี้และงานตัวเองให้ดี เพราะว่าแจมเป็นคนที่ครอบครัวดี งานดี เดี๋ยวความรักมันก็ตามมาเองค่ะ”
ตอนนี้สเปกสูงขึ้นมั้ย?
“แจมว่าก็สูงขึ้น เราไม่ได้มองว่าเธอต้องรวย คำว่าสูงขึ้นคือเรามองคนที่แมตช์กับเราเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าเราโสดอย่างเดียว ก็เคยมีแฟนมา เราก็จะมองถึงความสบายใจ ยิ่งโตขึ้น เราก็ยิ่งมองถึงความสบายใจ การคบใครสักคน ฉันทำงานมาเหนื่อยแล้ว ต้องมาไม่สบายใจกับเธออีก ฉันอยู่คนเดียวดีกว่าค่ะ”
มีคนนิสัยแบบไหนที่เราแพ้ทางบ้างมั้ย?
“แพ้คนตามใจ (หัวเราะ) ถ้าตามใจเราจะรู้สึกว่าใจเราฟู ชอบคนดูแลเอาใจใส่ ชอบผู้ชายอบอุ่น จะเป็นคนในหรือนอกวงการ จะอายุมากหรือน้อยกว่าก็ไม่เกี่ยวค่ะ ณ ตอนนี้ขอแค่เข้าใจกัน ไม่สร้างความลำบากใจ รวยจนไม่ว่า เดี๋ยวเรามาช่วยกันสร้างได้ ขอความสบายใจให้กันก่อน”
ในฐานะเป็นนางเอก เป็นคนดัง มีมุมมองในการเปิดตัวแฟนต่อสาธารณชนยังไง?
“ตั้งแต่อยู่ในวงการมาก็เปิดตลอด แต่พอเปิดแล้วรู้สึกว่าฉันเลิกอีกแล้ว คนก็มาถามว่าเลิกแล้วเหรอ แต่พอโตขึ้น ก็รู้สึกว่าถ้าเราคบใครเป็นจริงเป็นจัง ไว้เธอมาขอเราแต่งงานแล้วเราค่อยเปิดก็ได้ (ยิ้ม) เอาอย่างนั้นเลยดีกว่า แต่ไม่ปิดนะ ไม่ใช่ว่าไปไหน ทำอะไรไม่ได้ ก็คือปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่อยากลงโซเชียล เราก็ไม่รู้นะว่าคนนี้ใช่มั้ย ถามมาก็ตอบได้ว่าคบกับใคร”
ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” ให้ฟังหน่อย?
“ตอนนี้นิยามคือ “ใส่ใจฉันหน่อยได้มั้ย” (หัวเราะ) ถ้าใส่ใจทุกอย่างจะดีโดยตัวของมันเอง ถ้าเราเริ่มใส่ใจกัน และให้ความสบายกัน สองเรื่องนี้แจมว่าถ้ามันให้กันได้ มันไปกันรอด”
เชื่อว่าบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้แฟน ๆ ได้เข้าใจ “ตัวตน” และ “หัวใจ” ของ “แจมมี่” ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น!.
วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง