วันอาทิตย์ ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565, 06.50 น.
ซีเกมส์ กลับมาอีกครั้งหลังจากว่างเว้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยปกติ ซีเกมส์ จัดแข่งแบบ “2 ปีครั้ง” แต่หนนี้โดนโรคภัยเล่นงานกันทั้งโลก ทำให้ต้องเลื่อนการแข่งขันจากเดิมคือ ปี 2021 มาเป็น 2022
มีเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เลื่อนการแข่งขัน นั่นก็คือ ปี 1963 เพราะ กัมพูชา ในฐานะเจ้าภาพมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ
ไม่ใช่ว่าเลื่อน แต่หนนั้นยกเลิกไปเลย!!!
ทำให้ กัมพูชา ไม่ได้เป็นเจ้าภาพเลยนับจากครั้งนั้น และจะเป็นคือครั้งต่อไปปีหน้า 2023
มาในครั้งนี้ภารกิจของทัพนักกีฬาไทย ไม่จำเป็นจะต้องไปเป็น “เจ้าเหรียญทอง” ตามที่เคยเป็นมา เพราะเป้าหมายของซีเกมส์จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป
ไม่จำเป็นต้อง “ประกาศศักดา” แต่จะต้อง “พัฒนา” ให้มากขึ้นไปกว่าเดิม
ซีเกมส์ หลายคนเริ่มส่ายหน้า บางคนหนักกันเลยคือบอกจะเล่นไปทำไม ตรงนี้ก็เกินเด็กเกินเหตุเกินผล เพราะอะไรนั่นเหรอครับ ให้คิดถึงระบบการศึกษาเป็นตัวเทียบ
ถ้าไม่เรียนประถมศึกษา จะเข้าเรียนมัธยมศึกษา หรือระดับอุดมศึกษากันเลย ก็คงจะไม่งดงามเท่าที่ควร
เมื่อเป็นแบบนั้น มันก็ต้องไปวัดกันที่กีฬาระดับสากล แต่เป้าหมายก็ต้องชัดเจนด้วยว่า สมาคมฯที่ส่งไปแข่งจะเน้นอะไร
พัฒนานักกีฬา, เอาชนะเพื่อเงินอัดฉีด หรือจะผสมกันไปก็อยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดเบื้องลึกของแต่ละคน
อย่าลืมว่า ซีเกมส์ บางชนิดกีฬาเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่มาก แต่บางชนิดกีฬาก็จัดมาแบบพิมพ์การ์ดเชิญแขกเดินแจกกินโต๊ะ
เรื่องพวกนี้เชิญเอาคันฉ่องมาส่องที่ตัวคุณเอง…….
ครั้งก่อนที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่กระถางคบเพลิงดับไปในวันที่ 11 ธันวาคม 2019 พร้อมกับการเป็นเจ้าเหรียญทองของเจ้าภาพ
ทัพนักกีฬาไทย พลาดการเป็นเจ้าเหรียญทอง 2 สมัยติดต่อกัน หลังจากเป็นเบอร์ 1 ในเกมที่สิงคโปร์ ปี 2015 แต่มาพลาดท่าให้กับ มาเลเซีย ปี 2017 และฟิลิปปินส์ 2019
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไทย หลุดออกจาก 2 อันดับแรกบนตารางเหรียญเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี!!!!
หนก่อน ทัพนักกีฬาไทยตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เหรียญทอง 121 เหรียญ แต่สุดท้ายทำได้เพียง 92 เหรียญทอง 103 เหรียญเงิน 123 เหรียญทองแดง นอกจากจะหลุดไปกองที่อันดับ 3 ของตารางเหรียญ
แต่เมื่อนับเฉพาะกีฬาสากล เราก็ยังจบอันดับที่ 3 อยู่ดี
มาในครั้งนี้การตั้งเป้าของสมาคมกีฬา ผ่านทางการแถลงข่าว “มีต เดอะ เพรส” ของสมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย ระบุออกมาว่า 41 สมาคมกีฬา ตั้งเป้าคว้าเหรียญรวม 116 เหรียญทอง
ทั้งหมดของการวางเป้าประกอบด้วย คูราช 3 เหรียญทอง,มวยปล้ำ 2 เหรียญทอง, ยิมนาสติก 1 เหรียญทอง, ยูโด3 เหรียญทอง, มวยสากล 5 เหรียญทอง, ยูยิตสู 2 เหรียญทอง,แบดมินตัน 2 เหรียญทอง, ฟุตบอลและฟุตซอล 4 เหรียญทอง, ว่ายน้ำ 2 เหรียญทอง, ยิงธนู 2 เหรียญทอง, บาสเกตบอล3 เหรียญทอง, ฟันดาบ 2 เหรียญทอง, ปันจักสีลัต 1 เหรียญทอง,เปตอง 3 เหรียญทอง
หมากรุกสากล 1 เหรียญทองแดง, ตะกร้อ 5 เหรียญทอง,โบว์ลิ่ง 1 เหรียญทอง, แฮนด์บอล 2 เหรียญทอง, เพาะกาย3 เหรียญทอง, มวยไทยสมัครเล่น 5 เหรียญทอง, วอลเลย์บอล 2 เหรียญทอง, อีสปอร์ต 3 เหรียญทอง, ยกน้ำหนัก1 เหรียญทอง, จักรยาน 2 เหรียญทอง, เทเบิลเทนนิส 2 เหรียญทอง บิลเลียดและสนุ้กเกอร์ 1 เหรียญทอง, เทควันโด 3 เหรียญทอง, กรีฑา 12 เหรียญทอง, เทนนิส 2 เหรียญทอง, วูซู 1 เหรียญทอง, กอล์ฟ 4 เหรียญทอง, หมากรุกเซี่ยงฉี่1 เหรียญทอง, ยิงเป้าบิน 4 เหรียญทอง, ยิงปืน 6 เหรียญทอง, เรือพาย 8 เหรียญทอง, คิกบ็อกซิ่ง 4 เหรียญทอง, ฟินสวิมมิ่ง1 เหรียญทอง, โววีนัม 3 เหรียญทอง, คาราเต้ 2 เหรียญทอง, ลีลาศ 3 เหรียญทอง และไตรกีฬาขอติดเหรียญใดเหรียญหนึ่งจากการแข่งขัน
หลายคนบอกว่า “ซีเกมส์เงียบมาก” ซึ่งก็เงียบ เงียบจนน่าตกใจ ส่วนหนึ่งคือด้วยตัวของมันเองที่ไม่ได้เป็นกระแสเหมือนกับเมื่อ 20-30 ปีก่อน และคนไทยเข้าใจมากขึ้นถึงลำดับขั้นของกีฬา
ผู้คนถูกครอบด้วยระบบออนไลน์ ไม่ค่อยได้มีโอกาสรับรู้อะไร นอกจาก “สิ่งที่ชอบ” หรือ “สิ่งที่พูด” เพราะระบบนั้นมันได้กลับมาป้อนหาท่านที่โทรศัพท์ ซึ่งปัจจุบันคนมองมันมากกว่าสิ่งใด
มันปิดไม่ให้เข้าถึง อย่าว่าแต่ซีเกมส์เลย อะไรก็ไม่เห็น อะไรก็เข้าไม่ถึง
สิ่งสำคัญก็คือ ยุคนี้ “ดราม่า” หากินกันง่ายดายในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือทุกเรื่องราว ต้องมีกระแสถึงจะดัง บวกกับการที่ชอบความสำเร็จ แต่เบื่อหน่ายการลุ้นการรอคอย อันนี้เข้าทางบรรดาพวกซุปผักจริงๆ
สำคัญก็คือ การนำเสนอของสื่อในยุคปัจจุบันที่ต้องการอะไรกันแน่ในการนำเสนอ นี่คือเรื่องใหญ่มาก และเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการสร้างสตอรี่ผิดๆ ให้เกิดการ “เกลียดชัง”ระหว่างประเทศ
เกลียดชังด้วยการใช้กีฬาเป็นตัวนำ…..นี่นะหรือสื่อ
บางคนจัดลำดับประเภทคือส้วมด้วยซ้ำไป
โลกแห่งความจริง กับ โลกแห่งออนไลน์ บางทีมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง คนบางคนไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น และไม่เคยสัมผัสด้วยซ้ำ แต่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่โกรธกันเกลียดกันได้อย่างน่าตกใจมาก
ดังนั้นเขาจึงมีคำว่า “กีฬายาวิเศษ” เชื่อมความสัมพันธ์ หากกีฬาไม่สามารถทำตรงนั้นได้ ไม่รู้แพ้ รู้แต่ชนะ และไม่รู้อภัย อะไรก็ไปต่อยาก
จากนี้เราจับตาดูวงการกีฬาไทยว่า จะกลับมาได้หรือไม่ กลับมาได้ขนาดไหน และเบื่อหรือยังกับคำว่า “เดี๋ยวเราจะกลับไปปรับปรุง กลับไปพัฒนา” ซึ่งดูเหมือนว่า มันเป็นคำแก้ตัวที่ชินชาไม่อยากได้ยินอีก
ที่สำคัญก็คือ อยากให้การแข่งขันครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด
เวียดนาม จัดงานใหญ่เรื่องกีฬาหนนี้คือครั้งที่ 3 และเป็นการจัดครั้งสำคัญต่อจากเอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ 2009 เป็นต้นมา
แปลกดีตรงที่ เวียดนาม เป็นเจ้าภาพหนแรกก็คือปี 2003 เป็นซีเกมส์ ครั้งที่ 22
ซึ่งคนที่นั่นเรียกว่า ซีเกมส์ ไฮ-ไฮ
หนนี้ ซีเกมส์ ก็ ไฮ-ไฮ ลงท้ายด้วย 22 เหมือนกัน
เชื่อว่าหลายคนอาจจะ “ไม่สนใจ” หลายคนอาจจะ“ลืมไปแล้ว” หลายคนอาจจะ “เบื่อแล้ว” แต่หลายคนอาจจะ “ให้ความสำคัญ” กับเพื่อนเก่าคนนี้
เพื่อนเก่าแก่ของเราที่ชื่อว่า “ซีเกมส์”
มันอาจจะไม่สวยหวาน ไม่หอมกรุ่นเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ก็ยังคงทรวดทรงสมวัยตามสมัยเวียนเรียนผ่าน
เชียร์กันให้สนุก เชียร์กันให้มัน และอยู่ในความพอเหมาะพอดีครับ…..
บี แหลมสิงห์