‘เท้าเปล่า’ (Barefoot) ‘โฟมว่ายน้ำ’ (Kickboard) และ ‘บลูฮาวาย’ (Blue Hawaii) เป็นเด็กหญิงมัธยมปลายสามคนที่ชวนกันมาทำหนังเพื่อฉายในเทศกาลโรงเรียนที่จะถึงในหน้าร้อนนี้ด้วยเช่นกัน
ปีนี้ทั้งสามคนตั้งใจทำหนังซามูไรย้อนยุคแบบที่พวกเธอชื่นชอบ เท้าเปล่าเป็นผู้กำกับและเขียนบทเรื่อง ‘ซามูไรวัยละอ่อน’ โฟมว่ายน้ำรับหน้าที่ตากล้อง ส่วนบลูฮาวายเป็นผู้ช่วยคนเก่ง พวกเธอเฟ้นหาพระเอกและทีมงานกันเอง ถ่ายทำด้วยกล้องไอโฟนเป็นกองโจรเล็กๆ ก็จะทำอย่างไรได้เมื่องบของชมรมทำหนังมีพอสำหรับหนังเรื่องเดียว แถมเพื่อนๆ วัยเดียวกันก็ชอบหนังรักโรแมนติกอีกเสียนี่
เงินก็ไม่มี ทีมงานก็น้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรหนังเรื่องนี้ต้องเสร็จทันฉายในหน้าร้อนนี้ให้ได้ !
It’s a Summer Film หรือ (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้ เป็นหนังวัยรุ่นปี 2021 ที่มีฉากหลังเป็นโรงเรียนมัธยมและท้องฟ้าสีครามในฤดูร้อน เป็นงานกำกับหนังยาวเรื่องแรกของโซชิ มัตสึโมโตะ (Soushi Matsumoto) ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการละครทีวี มิวสิกวิดีโอ และโฆษณามานาน เขียนบทโดย นาโอยูกิ มิอุระ (Naoyuki Miura) จากบริษัทผลิตละคร ‘LOLO’ ที่เคยอวดฝีมือเขียนบทละครเวทีมาแล้ว
ทั้งสองคนตกลงกันว่าอยากเล่าเรื่องวัยรุ่นมัธยมปลายที่ไม่มี ‘ความรัก’ เป็นสื่อกลาง หลังจากนั้นโซชิจึงสังเกตเห็นว่าในโรงเรียนญี่ปุ่นมีชมรมเจ๋งๆ เต็มไปหมด ถ้าเล่าถึงชมรมพวกนี้ก็คงน่าสนใจและคงเป็นหนังวัยรุ่นที่รสชาติแปลกใหม่ดีไม่น้อย
สิ่งที่เขาเลือกมาเล่าคือ เรื่องวุ่นๆ ของวัยรุ่นชมรมภาพยนตร์
“ภาพยนตร์เป็นเหมือนไทม์แมชชีน บางสิ่งที่ทำไว้ในอดีตจะถูกส่งไปถึงใครสักคนในอนาคต”
โซชิเล่าใจความข้างบนผ่านตัวละคร ‘เท้าเปล่า’ และเพื่อนๆ ที่แม้จะมาจากต่างที่ ต่างความชอบ แต่ทุกคนเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อ ‘ภาพยนตร์’
อนาคตกับอดีตมาบรรจบกันที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ เมื่อกลุ่มเด็กชอบหนังเก่าได้โคจรมาพบกับชายหนุ่มปริศนาจากโลกอนาคตที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกัน ในขณะที่เธอหลงใหลในอดีต พวกเธอเองก็ได้สร้างภาพยนตร์ที่กลายเป็น ‘หนังเก่าในอดีต’ ที่น่าจดจำของผู้คนในอนาคตด้วยเช่นกัน
ภาพยนตร์ชวนตั้งคำถามว่า ‘ทำไมภาพยนตร์ถึงสำคัญกับโลกใบนี้’ และตอบคำถามที่ว่าด้วยหนังของเด็กๆ ม.ปลายในร้อนนี้ที่กำลังบอกเราว่าภาพยนตร์เป็นเหมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้รู้ว่าครั้งหนึ่งผู้คนชื่นชอบภาพยนตร์ขนาดไหนและภาพยนตร์มีความหมายกับมนุษย์โลกในยุคนั้นอย่างไร
ปี 2018 เป็นปีแห่งหนังรักโรแมนติกในญี่ปุ่น ขณะที่เขากำลังจะลงมือเขียนบทภาพยนตร์ โซชิมองว่าอาจมีเด็กม.ปลายบางคนที่อาจรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งกับปรากฏการณ์หนังรักทุกหย่อมหญ้าครั้งนี้ เพราะแทบไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงออกถึงความชื่นชอบที่หลากหลายเลย โซชิจึงตั้งใจให้ตัวละครหลักในเรื่องชอบหนังซามูไรย้อนยุค เพื่อให้หนังเรื่องนี้โอบรับความชอบที่อยู่นอกสายตาเอาไว้ เขาเผยว่าอยากให้คนที่ดูงานชิ้นนี้เห็นพลังของสิ่งที่เราชอบว่ามันมีความหมายกับคนคนหนึ่งขนาดไหน
หนังเรื่องนี้ไม่ละทิ้ง ‘ความชื่นชอบ’ ของตัวละครเลย อีกทั้งยังพาเราไปดูว่าแต่ละคนชอบอะไร สนใจอะไร นอกจากเท้าเปล่าที่คลั่งหนังซามูไรย้อนยุคเหลือเกิน เรายังเห็นด้วยว่าโฟมว่ายน้ำสนใจเรื่องดวงดาว บลูฮาวายมีความชอบลับๆ ที่ไม่เคยบอกใคร แม้แต่ ‘คาริน’ คู่แข่งของเท้าเปล่า หนังก็พาเราไปสำรวจว่าทำไมเธอถึงชอบหนังโรแมนติกมากขนาดนั้ี้น
It’s a Summer Film ! ทำให้เรานึกถึงเรื่อง Swing Girls (2004) หรือ Little Love Song (2019) ถ้าเป็นหนังไทยก็คงเป็น SuckSeed (ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ) (2011) หรือ เกรียนฟิคชั่น (2013) ซึ่งล้วนเป็นเรื่องราวของวัยรุ่นที่มารวมตัวกันทำบางสิ่งบางอย่าง
ที่ผ่านมาเรามักได้เข้าไปสำรวจเส้นทางความยากลำบาก ท้าทาย พ่ายแพ้และล้มลุกคลุกคลานของเด็กผู้ชาย แม้แต่นิสัยคลั่งไคล้หนังซามูไรย้อนยุคจนเรียกได้ว่าเป็น ‘โอตาคุ’ ของเท้าเปล่า ก็เป็นภาพจำที่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายเสียมากกว่า ที่ผ่านมาเราแทบไม่เห็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่ชอบทำหนังสักเท่าไหร่ แต่หนังเรื่องนี้ให้ผู้หญิงเป็นคนดำเนินเรื่องและเล่าเรื่องในมุมของ ‘เด็กผู้หญิง’ เป็นหลัก ซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ
หนังเรื่องนี้บอกเราว่าเด็กหญิงก็เป็นโอตาคุได้ กล้าออกไปลุยได้ ล้มลุกคลุกคลานได้ เด็กหญิงก็เขียนบทได้ เป็นผู้กำกับได้ เป็นตากล้องได้เหมือนกัน และความจริงก็เป็นแบบนี้มาเสมอ เพียงแต่น้อยครั้งนักที่จะถูกพูดถึง
นอกจากจะประกาศกร้าวให้ยุคสมัยได้รับรู้ว่านี่คือยุคของพวกเธอแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพยายามทำลายกรอบของความเป็นเด็กหญิงเด็กชายให้เหลือเพียงคำว่า ‘เด็กม.ปลาย’ ซึ่งเป็นวัยที่มีพลังล้นเหลือไปทำสิ่งที่รักได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
It’s a Summer Film ! ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น (Japan Film Festival 2022) ที่ฉายพร้อมกันหลายประเทศในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ในประเทศไทยเอง หนังหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างเงียบๆ ที่ใช้คำว่า ‘เงียบๆ’ นั่นก็เพราะว่าแม้จะไม่ได้โปรโมทมากมาย ไม่ได้ถูกพูดถึงในวงกว้าง แต่ในเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ผ่านมากลับเป็นเรื่องเดียวที่ทุบสถิติขายบัตรหมดเกลี้ยงทุกรอบ ถึงขั้นที่ว่าถึงจะได้นั่งแถวล่างสุดมองจอแบบแหงนๆ คนดูก็ยอมจ่ายขอแค่ให้ได้ดูก็พอใจ จนสุดท้ายต้องเพิ่มรอบพิเศษ (บัตรหมดเกลี้ยงตามเคย) และกลับเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งเพราะทนกระแสเรียกร้องไม่ไหว
โซชิเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังของเขาจะประสบความสำเร็จในต่างประเทศขนาดนี้ และที่หนังได้รับความนิยมในไทยมากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร อาจเพราะประเทศกำลังถูกปกคลุมด้วยหมอกหดหู่มืดครึ้ม หรือคนอาจชอบหนังดูง่าย ย่อยง่าย ดีต่อใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือแฟนๆ หนังญี่ปุ่นมากขึ้นก็เป็นไปได้ แต่สิ่งที่เราพอจะเห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้และเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลคือ เรื่องนี้ทำให้คนรู้สึกถึง ‘ความเป็นไปได้’ ที่เติมเต็มหัวใจของผู้ชมได้เสมอ
ขวบปีที่ล่วงเลยไป อาจทำให้ใจที่เคยมีพลังค่อยๆ ห่อเหี่ยวลง เพราะยิ่งเติบโตก็ยิ่งเผชิญกับข้อจำกัดมากมายในชีวิต เหมือนเถาวัลย์ที่รัดรั้งไม่ให้ก้าวออกไปทำเรื่องสนุกได้อย่างตอนเป็นวัยรุ่น กาลเวลาไม่ได้พรากแค่ความเยาว์ไปเท่านั้น แต่อาจช่วงชิงหัวใจของวัยเยาว์อันล้ำค่าไปจากพวกเราด้วย
หนังวัยรุ่นที่มีตัวเอกเป็นเด็กม.ปลาย 3 คน ไม่มีปมซับซ้อน เจ็บปวดในระดับที่ยังเป็นมิตรกับใจ ไม่มีใครที่เลวร้ายเกินกว่าจะเป็นเด็กม.ปลาย อบอุ่นหัวใจและหยุดเวลาวัยเยาว์ไว้ข้างในภาพยนตร์ตลอดกาล อาจทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับมาเต็มอิ่มอีกครั้ง
บางคนอาจนึกเสียดายที่ปล่อยให้ช่วงวัยนั้นนั้นล่วงเลยไป บางอาจได้กลับมาสำรวจช่วงวัยของตัวเอง บางคนอาจมีพลังก้าวออกไปสนุกกับโลกใบนี้ และใครหลายๆ คนอาจพบว่าหัวใจของวัยเยาว์ที่เคยถูกช่วงชิงไปกลับมาเต้นตึกตักอีกครั้งในฤดูร้อนนี้
อ้างอิง
เผยแพร่: 3 มิ.ย. 256…
This website uses cookies.