สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐเผยว่า พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่เพียงทำให้อุณหภูมิในช่วงกลางวันพุ่งทะลุสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แต่ยังทำให้เกิดอันตรายอีกด้วย

อุณหภูมิในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน พุ่งทะลุ 43.3 องศาเซลเซียส เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าทำสถิติสูงสุดเอาชนะสถิติก่อนหน้านี้ที่ 42.2 องศาเซลเซียส ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อน ขณะที่อุณหภูมิในเมืองเซเลม ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐโอเรกอนก็ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 44.4 องศาเซลเซียส

ขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ อุณหภูมิก็พุ่งสูงทำสถิติเช่นกัน โดยอุณหภูมิที่สนามบินนานาชาติในนครซีแอตเทิลอยู่ที่ 38.3 องศาเซลเซียส เมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิในพื้นที่ดังกล่าวพุ่งสูงถึงระดับนี้นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บสถิติในปี 2473 เป็นต้นมา

คลื่นความร้อนยังเกิดขึ้นในรัฐไอดาโฮ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงถึง 38 องศาเซลเซียส ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป ขณะที่ในเมืองออนแทริโอ
ของรัฐโอเรกอนซึ่งติดกับพรมแดนของไอดาโฮก็จะมีอุณหภูมิสูงถึง 42.8 องศาเซลเซียสต่อไปอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์

อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้บางเมืองต้องมีการสั่งปิดสระว่ายน้ำสาธารณะด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เนื่องจากอุณหภูมิในสระว่ายน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่อาจเป็นอันตราย

ขณะที่ในหลายเมืองต้องเปิดศูนย์ทำความเย็น เพื่อให้ประชาชนหลบร้อนเข้ามาอยู่ในห้องแอร์ และมีการยกเลิกการแข่งขันกีฬาบางชนิดเพราะหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับสุขภาพของนักกีฬา

การที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากความกดอากาศสูงที่ปกคลุมเหนือพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ และแคนาดา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลให้เกิดสภาพอากาศรุนแรงบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งรวมถึงคลื่นความร้อนในลักษณะนี้

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่