เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา เป็นวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ กับ “เส้นทางรถไฟจีน-ลาว” ที่ต้องถือว่าเป็นข่าวใหญ่ระดับภูมิภาค เพราะเป็นโครงการที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ การเดินทาง และการท่องเที่ยวได้อย่างมาก
เส้นทางรถไฟจีน-ลาว เชื่อมต่อระหว่าง “นครคุนหมิง” เมืองเอกของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และ “นครหลวงเวียงจันทน์” แห่ง สาธารณรัฐประชาธิไปไตยประชาชนลาว ซึ่งทางรถไฟสายนี้ำเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจจีน-อินโดจีน และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt & Road Initiative – BRI) ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนริเริ่มขึ้นในปี 2013
ทางรถไฟจีน-ลาว เริ่มต้นก่อสร้างเดือนธันวาคม 2016 มีระยะทางรวม 1,035 กิโลเมตร ความเร็วในการวิ่งบริการสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะเวลาเดินทางราว 10 ชั่วโมง (นับรวมพิธีการทางศุลกากร) วิ่งผ่านเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวหลายแห่ง ตั้งแต่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ผ่านเมืองผู่เอ่อร์ และด่านโม๋ฮันทางตอนใต้ของจีน เข้าสู่ลาวบริเวณด่านบ่อเต็น ผ่านอุดมไซ หลวงพระบาง วังเวียง จนถึงนครหลวงเวียงจันทน์
สำหรับรถไฟขบวนขนส่งสินค้าบนเส้นทางนี้ มีการเปิดวิ่งระหว่างจีน-ลาวแล้ว แต่ขบวนรถไฟโดยสาร ยังเปิดวิ่งเฉพาะในลาวเท่านั้น โดยสถานีรถไฟที่เปิดบริการมีเพียง 6 แห่ง คือ นครหลวงเวียงจันทน์, โพนโฮง, วังเวียง, หลวงพระบาง, เมืองไซ และบ่อเต็น
ขบวนรถไฟโดยสาร ในเบื้องต้น เปิดวิ่งวันละ 2 ขบวน (ไป-กลับ) เส้นทางนครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น (ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง) รถออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์เวลา 08.00 น. เที่ยวกลับ ออกจากสถานีบ่อเต็นเวลา 12.00 น. ส่วนเส้นทางนครหลวงเวียงจันทน์-หลวงพระบาง (ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) รถออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์เวลา 15.44 น. เที่ยวกลับ ออกจากสถานีหลวงพระบางเวลา 18.16 น.
โดยระยะแรกยังไม่มีการจองตั๋วผ่านระบบออนไลน์หรือโทรจอง จะเปิดขายตั๋วที่สถานีวันละ 3 รอบ คือ เวลา 07.00-10.00 น. เวลา 14.00-16.00 น. และ เวลา 20.00-20.40 น. สามารถซื้อตั๋วก่อนรถออกจากสถานีอย่างน้อย 1 ชั่วโมง (สามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ 3 วัน) แนะนำให้ไปถึงสถานีก่อนรถไฟออก 1 ชั่วโมง โดยจะต้องผ่านการแสกนกระเป๋า และตรวจเช็คเอกสาร ซึ่งจะต้องมีตั๋วโดยสาร บัตรประชาชน และ หนังสือรับรองการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
ราคาค่าโดยสาร อ้างอิงจากหนังสือแจ้งการของกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว เลขที่ 24016/ยทข.หก. ลงวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของกรมทางรถไฟ และประกาศใช้ค่าโดยสารนี้เป็นการชั่วคราวในระยะแรกที่เริ่มให้บริการ โดยรายละเอียดค่าโดยสารเที่ยวเดียวของขบวนรถไฟความเร็วปานกลางในช่วงสถานีสำคัญ มีดังต่อไปนี้
นครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น (ปลายทาง)
ตู้โดยสารชั้น 1 คนละ 294 หยวน หรือ 529,000 กีบ หรือ 1,510 บาท
ตู้โดยสารชั้น 2 คนละ 185 หยวน หรือ 333,000 กีบ หรือ 950 บาท
ค่าโดยสารรถไฟความเร็วธรรมดา คนละ 132 หยวน หรือ 238,000 กีบ หรือ 680 บาท
นครหลวงเวียงจันทน์-หลวงพระบาง
ตู้โดยสารชั้น 1 คนละ 174 หยวน หรือ 313,000 กีบ หรือ 895 บาท
ตู้โดยสารชั้น 2 คนละ 110 หยวน หรือ 198,000 กีบ หรือ 565 บาท
ค่าโดยสารรถไฟความเร็วธรรมดา คนละ 78 หยวน หรือ 140,000 กีบ หรือ 400 บาท
นครหลวงเวียงจันทน์-วังเวียง
ตู้โดยสารชั้น 1 คนละ 91 หยวน หรือ 164,000 กีบ หรือ 465 บาท
ตู้โดยสารชั้น 2 คนละ 57 หยวน หรือ 103,000 กีบ หรือ 295 บาท
ค่าโดยสารรถไฟความเร็วธรรมดา คนละ 41 หยวน หรือ 74,000 กีบ หรือ 210 บาท
(อัตราค่าโดยสารที่ยกตัวอย่างมาอิงตามอัตราแลกเปลี่ยนตามราคาตลาดในลาวที่ 1,800 กีบต่อ 1 หยวน และ 350 กีบต่อ 1 บาท)
สำหรับ 3 เมืองท่องเที่ยวสำคัญใน สปป.ลาว ที่หลายๆ คนรู้จักกันดีก็คือ “เวียงจันทน์-วังเวียง-หลวงพระบาง” ซึ่งก็เป็นเส้นทางผ่านของรถไฟสายจีน-ลาว โดยมีสถานีอยู่ทั้งสามเมืองนี้ด้วยเช่นกัน มาลองดูว่าแต่ละเมืองมีแหล่งท่องเที่ยวไหนที่เด่นๆ กันบ้าง
เวียงจันทน์
นครหลวงของ สปป.ลาว ตัวสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ ห่างจากประตูชัยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร นับว่าไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวย่านใจกลางเมืองมากนัก
“เวียงจันทน์” มีสถานที่ท่องเที่ยว วัดวาอาราม และโบราณสถานต่างๆ ชวนให้เที่ยวชมหลายที่ เริ่มจาก “พระธาตุหลวงเวียงจันทน์” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่เป็นที่เคารพศรัทธาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาว แต่เดิมพระธาตุองค์นี้เป็นพระธาตุองค์เล็กๆ ชื่อว่า องค์พระธาตุศรีธรรมาโศก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือในยุคอาณาจักรศรีโคตรบอง กระทั่งในปี พ.ศ. 2109 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างพระธาตุหลวงใหม่ครอบองค์พระธาตุเดิม และให้ชื่อว่า “พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี” แต่ชาวลาวนิยมเรียกว่า “พระธาตุหลวง”
ด้านหน้าพระธาตุหลวงเวียงจันทน์จะเป็น ”พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” ผู้ทรงเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ลาว
“หอพระแก้ว” ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาวมาก่อน และเมื่ออดีตเคยเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาประทับที่ประเทศไทย หอพระแก้วทุกวันนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณล้ำค่ามากมายให้ได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็นนาค 7 เศียร พระพุทธรูปเก่าแก่ ศิลาจารึก กลองสำริด และโบราณวัตถุอื่นๆ อีกมากมาย และที่ระเบียงรอบหอพระแก้วยังมีพระพุทธรูปโบราณหลายองค์ตั้งเรียงรายอยู่รอบระเบียงที่ล้วนแล้วแต่มีความงดงาม
“วัดสีสะเกด” หรือ “วัดสะตะสะหัสสาราม” (วัดแสน) เป็นวัดที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างขึ้น และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้รอบพระระเบียงและในพระอุโบสถไว้นับแสนองค์ จนเป็นที่มาของชื่อวัดแสน ด้านในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง มีภาพจิตกรรมบนฝาผนังเขียนเรื่องทศชาติชาดกให้ได้ชม บนผาฝนังยังมีช่องเล็กๆ ที่บรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กๆ นับพันองค์ไว้ และที่ด้านนอกพระวิหาร มีระเบียงคดล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่จำนวนมาก และที่ฝาผนังก็เจาะเป็นช่องเล็กๆ บรรจุพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ไว้มากมายเช่นกัน
“ประตูชัย” เป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ ตั้งเด่นเป็นสง่าเห็นได้แต่ไกล สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ยังมีลักษณะสถาปัตยกรรมรายละเอียดอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของศิลปะแบบล้านช้างให้เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นยอดปราสาทบนประตู ลวดลายปูนปั้นเทพนม ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะแบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้ง แล้วยังมีบันไดวนให้เดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์เวียงจันทน์ในมุมสูง ส่วนรอบๆ ประตูชัยก็เป็นลานกว้าง มีน้ำพุ และเป็นที่พักผ่อนหย่อยใจของชาวลาวและนักท่องเที่ยว
วังเวียง
เมืองท่องเที่ยวชื่อดังที่รู้จักกันในฉายา “กุ้ยหลินเมืองลาว” สถานีรถไฟวังเวียงอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร จากย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งรวมของที่พักนักท่องเที่ยว หากนั่งรถไฟสายจีน-ลาว มาจากนครหลวงเวียงจันทน์ ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จะมาถึงเมืองวังเวียงแห่งนี้
บรรยากาศของวังเวียงนั้นล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติสวยงาม โดยเฉพาะทิวทัศน์ภูเขาและหน้าผาหินปูนที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวยาว มีแม่น้ำซองไหลผ่าน ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนที่นักท่องเที่ยวนิยมเป็นอย่างมาก
จุดท่องเที่ยวเด่นๆ ในวังเวียง ได้แก่ “บลูลากูน” เป็นลำธารธรรมชาติที่ไหลออกมาจากภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำพูคำ สายน้ำที่ไหลออกมาจากถ้ำในวันนี้เป็นสีเขียวอมฟ้าสดใสเย็นเฉียบ ราวกับเป็นสระว่ายน้ำธรรมชาติอันงดงาม แถมยังมีความเหมาะเจาะตรงที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมน้ำ กิ่งไม้ยื่นยาวออกไปกลางลำธาร นักท่องเที่ยวจึงนิยมท้าความกล้าด้วยการปีนต้นไม้ขึ้นไปแล้วกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
“ถ้ำจัง” เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ทุกคนจะต้องเดินขึ้นบันไดแสนชัน 147 ขั้น เพื่อไปสู่ปากทางเข้าถ้ำ ถ้ำแห่งนี้แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มีหินงอกหินย้อยสวยงามให้ได้ชม อีกทั้งทางเดินภายในถ้ำยังสะดวกสามารถเดินชมถ้ำได้อยากสะดวกสบาย เมื่อเดินเข้าไปภายในยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์ของเมืองวังเวียงได้จากด้านบนอีกด้วย
อีกกิจกรรมยอดฮิตในวังเวียงก็คือ การล่องห่วงยาง หรือพายคายัค ล่องแม่น้ำซอง รวมถึงการขึ้นบอลลูนไปชมวิวเมืองวังเวียงในมุมสูง
หลวงพระบาง
เมืองมรดกโลกอันแสนงดงามของ สปป.ลาว นั่งรถไฟจากนครหลวงเวียงจันทน์มาถึงที่นี่ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง สถานีหลวงพระบางตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถเหมารถจากที่สถานีเข้าไปยังตัวเมืองได้ และตัวสถานีมีความงดงามเป็นพิเศษ เนื่องจากมีสถาปัตยกรรมในแบบล้านช้างมาผสมผสาน และยังเป็นสถานีที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ และสถานีบ่อเต็น
ไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวเด่นๆ ของหลวงพระบาง ได้แก่ “วัดเชียงทอง” ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างที่งดงามที่สุดในดินแดนลาว เมื่อเข้ามาในวัดเชียงทองจะได้เห็นสถาปัตยกรรมงดงามล้ำค่ามากมาย มี “สิม” หรือ “โบสถ์” ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิมแบบล้านช้างสมบูรณ์ที่สุด ภายในประดิษฐาน “พระองค์หลวง” อันงดงาม และที่ผนังสิมด้านหลัง (ด้านนอก) ประดับลาย “ดอกดวง” หรือลายกระจกสี ทำเป็นรูป “ต้นทอง” ท่ามกลางสัตว์หลายชนิดกับตำนานนิทานพื้นบ้าน และที่มาของชื่อเมือง “เชียงทอง” ซึ่งเป็นชื่อเดิมของหลวงพระบาง ภายในวัดยังมี “หอพระพุทธไสยาสน์” ด้านในประดิษฐานองค์พระนอนอายุเก่าแก่กว่า 400 ปี และที่ผนังสิมด้านนอกงดงามด้วยการประดับกระจกสีเล่าเรื่องราวคติสอนใจจากนิทานพื้นบ้าน และภาพวิถีชีวิตชาวหลวงพระบางในอดีต แล้วก็มีช่องหน้าต่างที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้เป็นจุดถ่ายภาพที่ระลึก
“พระธาตุพูสี” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2347 เป็นเหมือนหลักเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนยอดเขา ก็จะได้เห็นองค์พระธาตุสีทองงดงามอร่ามตาตั้งเด่นเป็นสง่าให้ได้กราบสักการะ แล้วก็ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ให้ได้กราบขอพร อีกทั้งด้านบนยอดพูสีแห่งนี้ ยังเป็นจุดชมวิวขึ้นชื่อที่เมื่อมองไปแบบไกลสุดลูกหูลูกตา จะได้เห็นวิวทิวทัศน์เมืองหลวงพระบาง วิวแม่น้ำโขง แม่น้ำคาน เคียงคู่บ้านเมืองอันสงบงาม
“หอพิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง” (พระราชวังหลวงเดิม) ด้าในมี “พระบาง” ชื่อเต็มคือ “พระบางพุทธลาวรรณ” ประดิษฐานอยู่ภายใน “หอหลวงพระบาง” ที่มีสถาปัตยกรรมแบบศิลปกรรมล้านช้างอันงดงาม ทาด้วยสีทองเหลืองงามอร่ามตา พระบางเป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อันเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง แล้วยังเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่สุดของสปป.ลาว ซึ่งทุกๆ ปีในช่วงสงกรานต์ (บุญปีใหม่ลาว) จะมีการนำพระบางออกมาให้ชาวลาวและนักท่องเที่ยวได้ร่วมสรงน้ำกัน
สำหรับเส้นทางรถไฟจีน-ลาว เมื่อเปิดให้บริการขบวนรถโดยสารอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นอีกเส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิตอีกเส้นหนึ่ง เนื่องจากเส้นทางรถไฟนี้ผ่านเมืองท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง และสามารถร่นระยะเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมาก สำหรับใครที่อยากเดินทางไปเที่ยวตามเส้นทางนี้ คงต้องอดใจรออีกพักใหญ่ กว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย และเปิดให้มีการเดินทางระหว่างประเทศตามปกติ
#########################################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline
เผยแพร่: 3 มิ.ย. 256…
This website uses cookies.