ทิปปี้-สุพรทิพย์ ช่วงรังษี คือชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในฐานะเซเลบริตี้และนักแสดงสาวรุ่นใหญ่ หากใครติดตามอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอคงจะได้เห็นถึงไลฟ์สไตล์เรียบง่ายทว่าเต็มไปด้วยความสุขในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตกับสัตว์เลี้ยงแสนรักอย่าง “ห่านพะโล้” ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจี ไปจนถึงการดูแลสุขภาพด้วยการทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน และล่าสุดเธอยังได้ค้นพบศาสตร์ใหม่แห่งการดูแลอย่าง ‘Crystal Singing Bowls’
จัดระเบียบโมเลกุลน้ำในร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดีด้วย Crystal Singing Bowls
“ณ ที่แห่งนี้ ตึกสูงเสียดฟ้า การที่เรามาอยู่ที่นี่ ในวันและเวลาที่ดีที่สุด ให้จินตนาการว่าพวกเรามานอนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ เสียงของใบไม้ไหว ลมหายใจของเรา ปล่อยวางจากพันธนาการทั้งปวง ลมหายใจเข้าก็ปล่อยวาง ลมหายใจออกก็ปล่อยวาง”
เรากำลังอยู่บนคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่มีอยู่สามชั้นด้วยกัน ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกและห้องรับประทานอาหาร รวมทั้งครัว ชั้นสองเป็นสตูดิโอกรุกระจกรอบด้าน และชั้นบนสุดเป็นสระว่ายน้ำและเฉลียงซึ่งเธอใช้เป็นสถานที่ทำ Crystal Singing Bowls ให้กับญาติมิตร เราถามเธอว่าคำพูดเหล่านี้มีส่วนอย่างไรในการเชิญคลื่น
“จริงๆ จะต้องยาวกว่านี้มากค่ะ และไม่ตายตัว การอินโทรจะขึ้นอยู่กับผู้ฟัง (Audience) จะต้องออกมาเองจากความรู้สึกของผู้ฟังที่กำลังนอนอยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการผ่อนคลาย ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากปลายเท้า แล้วไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านจักระ (Chakra) ทั้ง 7 ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งที่ตั้งของร่างกาย ตั้งแต่ฝีเย็บจนถึงกลางกระหม่อม โดยเราจะไล่การผ่อนคลายตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ เมื่อถึงตอนนี้ผู้ฟังส่วนใหญ่จะเริ่มง่วงและหลับ”
คุณทิปปี้พูดพลางหัวเราะ ผู้เชิญคลื่นคนนี้ก็คือสาวสังคมผู้มีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมะและธรรมชาติ อธิบายถึงการทำ Crystal Singing Bowls หรือที่เธอเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็น ‘การเชิญคลื่น’ และสมัครใจจะเรียกตัวเองว่า ‘ผู้เชิญคลื่น’ โดยเธออธิบายถึงกรรมวิธีการทำ Crystal Singing Bowls ว่าเมื่อผู้ฟังหลับแล้วจะเป็นช่วงจังหวะที่กายกับจิตแยกออกจากกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายหลับลึกและสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีที่สุด
“โดยทั่วไปแล้วในชีวิตประจำวันคนส่วนใหญ่จะหลับไม่ลึก เพราะสั่งสมความเครียดเอาไว้มาก การทำ Crystal Singing Bowls จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และหลับลึกได้ชั่วขณะ ผู้ฟังคลื่นเสียงจะนอนเฉยๆ ปล่อยความคิดไปตามเสียงผู้เชิญคลื่น ส่วนผู้เชิญคลื่นจะเชิญคลื่นบทไหว้ครู ตามด้วยจินตนาการพาไปที่อีกแห่งเพื่อให้ผู้ฟังทิ้งเรื่องวุ่นวายในปัจจุบัน จากนั้นตามด้วยการไล่ผ่อนคลายจากเท้าจรดศีรษะ และร่ายบทสวดมนต์ จบด้วยการปลุกให้รู้สึกตัว ทั้งหมดใช้เวลา 50 นาที หรือเท่าที่เวลาอำนวย”
The Origin จุดเริ่มต้นของศาสตร์แห่งการบำบัด
คุณทิปปี้อธิบายเพิ่มเติมถึงศาสตร์ Crystal Singing Bowls นี้มีที่มายาวนานกว่า 4,000 ปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ และมีการส่งต่อถ่ายทอดศาสตร์นี้ต่อๆ กันมาจากยุคสู่ยุค ชนเผ่าอะบอริจินส์ในออสเตรเลียเองก็ใช้คลื่นเสียงในการบำบัดเช่นกัน พระลามะและชาวทิเบตเองก็บำบัดด้วยเสียงการตี bowl ทองเหลือง
มีงานวิจัยมากมายที่พิสูจน์ทฤษฎีคลื่นเสียง แต่ที่น่าสนใจมากคืองานวิจัยของ นพ.อิโมโตะ ที่วิจัยเรื่องคลื่นเสียงจากคำพูดมีผลต่อการเปลี่ยนโมเลกุลน้ำ โดยวิจัยลึกไปถึงว่าแค่ความคิดก็เปลี่ยนโมเลกุลน้ำได้ ด้วยการนำน้ำ 2 ขวด ขวดหนึ่งเขียนคำว่า HATE ที่ขวดกับอีกขวดเขียนคำว่า LOVE น้ำที่มีคำว่า LOVE โมเลกุลจะเรียงตัวกันเป็นรูปดอกไม้และเป็นรูปเกล็ดน้ำแข็งที่สวยงาม ส่วนน้ำที่มีคำว่า HATE เขียนไว้ที่ขวดโมเลกุลจะเรียงตัวไม่สวย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ให้คนทดลองพูดกับต้นไม้ด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน ต้นไม้ที่ได้รับคำชมมากๆ จะเจริญงอกงามดี ไม่เหมือนต้นไม้ที่ได้รับคำด่าจะหงิกงอแคระแกร็น
“สำหรับร่างกายคนเราก็ไม่แตกต่างกัน คนที่ได้รับพลังงานเสียงที่ดีจะไปปรับเรียงโมเลกุลน้ำในร่างกายให้สวยงาม ด้วยหลักการนี้การจัดเรียงโมเลกุลน้ำในร่างกายด้วยพลังเสียง เราก็จะไม่ป่วย เราถึงเชื่อว่าคำพูดของเราส่งผลไม่ใช่แค่ต่อตัวเรา แต่มีผลต่อมวลมนุษยชาติ อย่างที่เขาเรียกว่า ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะพูดอะไรก็มาจากความคิดของเรา ถ้าคิดดีเราก็จะพูดดี สิ่งเหล่านี้นอกจากจะส่งผลต่อตัวเราเองแล้ว ยังมีผลต่อทุกอย่าง” คุณทิปปี้ยังบอกอีกว่า การเรียงตัวของโมเลกุลที่สวยงามอาจไม่ใช่ความสวยแบบที่เราคุ้นเคย แต่เป็นความสวยงามแบบสงบ
นอกจากนี้ Crystal Singing Bowls ยังส่งผลดีต่อผู้ป่วยทุกโรค คุณทิปปี้บอกกับ HELLO! ว่า “ต้องบอกว่าเราเป็นเพียงผู้เชิญคลื่น เราไม่ใช่นักบำบัด เราไม่ใช่หมอ เราเป็นเพียงสื่อกลางเท่านั้น คลื่นเสียงที่เราเชิญจะทำงานกับร่างกายของแต่ละคนเอง เพราะร่างกายของแต่ละคนทำงานไม่เหมือนกัน คลื่นไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกว่าคนนั้นเป็นใคร คลื่นก็ทำงานของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ตรงไหนที่ติดขัดคลื่นจะพยายามทะลุทะลวงเข้าไปบำบัด”
ฟ้าลิขิตให้เป็น ‘ผู้เชิญคลื่น’
“อาจดูเหมือนเราเป็นคนเนิบช้าลั้นลา แต่จริงๆเป็นคนใจร้อนนะคะ” คุณทิปปี้กล่าวถึงคุณสมบัติของตัวเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็น ‘ผู้หญิงเก่ง’ โดยเล่าถึงนิสัยส่วนตัวว่าเวลาจะทำอะไรต้องเป๊ะและเร็ว แต่ก่อนจะโมโหง่าย และแรง อัตตาตัวตนก็สูงมาก ไม่ได้ต้องได้ ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ เพราะความสำเร็จหรืออะไรต่างๆ มันหล่อหลอมให้เรามั่นใจมากเกินไป ทั้งที่เป็นเพียงภาพลวงตา และบางทีก็เผลอติดกับดักตัวเอง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นและสงบขึ้นมาก
สำหรับการมาเป็นนักเชิญคลื่นก็เป็นเรื่องที่เธอไม่ได้ตั้งใจ จากแค่คิดว่าจะฟังคลื่นอย่างเดียวให้สบาย ครูนาทกลับเลือกเธอเป็นศิษย์ โดยเหตุการณ์เริ่มจากคุณทิปปี้และ คุณเดือน-ปาณนุษา บุญศรี ไปฟังที่สวนโมกข์ หลังจากนั้นก็รู้สึกประทับใจและตามไปฟังอีกหลายครั้ง จนกระทั่งปลายปีที่ผ่านมา ครูผู้ช่วยของครูนาทได้ไลน์มาบอกว่า “ครูนาทพร้อมที่จะสอนแล้ว” จึงทำให้ได้รู้ว่าครูนาทไม่ได้เปิดรับสมัครศิษย์ แต่จะเป็นผู้คัดว่าใครพร้อมจะเรียน
คุณทิปปี้ยังบอกอีกว่า สิ่งที่เธอได้รับจากการเชิญคลื่น ก็คือการเป็นผู้ให้ และเป็นการให้ที่ไร้เงื่อนไขจริงๆ “คนตรงหน้าเราป่วยเป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือไม่ป่วยก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ และคลื่นที่เชิญมาก็วนมาอยู่ที่เราด้วยเช่นกัน ถือเป็นการบำบัดตัวเองไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา โดยที่เราก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ แล้วความสุขง่ายๆก็มา เลยรู้สึกได้ว่ามันเป็นอีกหนทางหนึ่ง แต่เราไม่ได้ปฏิเสธทางสายเดิมที่เรามีนะคะ เพราะเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง”
หญิงเก่งอย่างคุณสุพรทิพย์ยังบอกเราอีกว่า ในอนาคตอันใกล้เธอกำลังจะเปิดบ้านแม่น้ำบางปะกงเป็นบ้านปฏิบัติธรรม และจะบรรจุกิจกรรม Crystal Singing Bowls เข้าไปด้วย “เรียกว่าเป็นโปรเจกต์ที่ทำเพื่อตัวเองและผู้อื่นในบั้นปลายชีวิต แม้ว่าเราจะเป็นผู้ให้ตัวเล็กๆคนหนึ่งในโลกนี้ แต่อย่างน้อยเราก็มีส่วนในการให้นิดหนึ่งก็ยังดี เพราะพอหลายคนให้รวมกันก็เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ได้ การแบ่งปันตรงนี้ในฐานะที่เราเป็นประชากรโลกคนหนึ่ง ก็เป็น another happiness ของเรา ทำให้เรารู้จักบาลานซ์ตัวเอง โดยที่ทุกคนเป็นครูให้เรา เพราะที่ผ่านมาเราก็ใช้ชีวิตสุดโต่งมาเยอะแล้ว ถามว่าใครทุกข์ก็ยัยนี่แหละ (ชี้ตัวเอง)”
“ถึงเวลาที่เราต้องศึกษาตัวเอง การเรียนรู้ข้างในเหมือนเราไม่ได้คืบหน้าไปไหน ตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่า เธอเท่านั้นแหละที่ทุกข์ เธอเท่านั้นแหละที่สุข หรือเธอเท่านั้นแหละที่อยู่ตรงกลาง เคยมีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า สุพรทิพย์วันหนึ่งเธอจะพูดคำว่า ในที่สุดก็แค่นี้เอง ซึ่งทุกวันนี้คำนั้นอาจใกล้เข้ามา แต่ยังไม่ถึงนะคะ” คุณทิปปี้กล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม
เผยแพร่: 3 มิ.ย. 256…
This website uses cookies.