Thailand Sport Magazine Sponsored

THE REAL (FLOW) : P9D “ซัดด้วยความจริงให้คนเกลียด ดีกว่าทิ้งตัวตนให้คนด่า” – Unlockmen

Thailand Sport Magazine Sponsored
Thailand Sport Magazine Sponsored

บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ ทีมงาน Unlockmen ได้เดินทางไปใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานครย่านถนนพระราม 4 เพื่อลุยเข้าไปตามตรอกซอกซอยย่านชุมชนบ่อนไก่ เพื่อพบกับแร็ปเปอร์เจ้าของรางวัล Artist Of The Year จาก RIN (Rap Is Now) Awards 2021 นามว่า “P9D” หรือ “นุ้ย”

ซึ่งที่ ๆ เราไปเยือนมันคือบ้านที่หล่อหลอมให้เขาเติบโตมาเป็นอย่างที่เป็นในทุกวันนี้ และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดบ้านให้ได้เข้าไปสัมผัสความ Real แบบไร้ซึ่งการสร้างภาพอีกด้วย

มาทำความรู้จักตัวตนในทุก ๆ แง่มุมของ P9D แบบที่ไม่ต้องไปตัดสินผู้ชายคนนี้จากแค่คำบอกเล่าบนโซเชียลมีเดียกันดีกว่าครับ

แร็ปเปอร์หนุ่มวัย 36 ปี มีชีวิตที่พลิกผันมาตั้งแต่วัยเด็ก เขากำเนิดและเริ่มเติบโตในวัยเด็กย่านสุขุมวิท 101 มีฐานะที่ไม่ได้ลำบากอะไรตั้งแต่แรก มีชีวิตที่ดี มีความฝันไม่ต่างจากเด็กทั่วไป เขาชอบเล่นบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ มีความมุ่งมั่นที่อยากจะเดินทางไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…

เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเสียชีวิตของอาม่า จากเด็กที่เคยใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในสังคมชนชั้นกลาง นุ้ยต้องย้ายมาอยู่ในสลัมย่านบ่อนไก่ ซึ่งวิถีชีวิตและสังคมรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ความคิดแรกของคนทั่วไปคงไม่ต่างจากนุ้ยที่มองว่าสถานที่แห่งนี้มันดูน่ากลัว ไม่มีความปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น เพราะนุ้ยกลับได้พบมิตรภาพที่ไม่เคยเจอมาก่อน ที่นี่เขาได้พบกับเพื่อนบ้านที่มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ทุก ๆ คนในชุมชนต่างออกมาช่วยดูแลกันและกันอย่างไม่คิดชีวิต

แม้คนภายนอกจะตีตราชุมชนแบบนี้ว่าเป็นสลัม เป็นสังคมที่มีปัญหา ถูกมองในตำแหน่งที่ต่ำ แต่นุ้ยยืนยันว่าที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากสังคมทั่ว ๆ ไป ที่มีทั้งร้ายและดีปะปนกัน

“ที่นี่เคยเกิดเหตุไฟไหม้ ทุกคนในชุมชนก็ออกมาช่วยเหลือกัน มาดูแลกัน และคนแถวนี้เปิดบ้านมาเจอหน้ากันก็สวัสดีทักทายกันตลอด”


การย้ายบ้านมาอยู่ในชุมชนแห่งนี้ ชีวิตของนุ้ยไม่ได้เปลี่ยนไปแค่ความเป็นอยู่ แต่มันได้นำเขาเข้าสู่โลกของวัฒนธรรมฮิปฮอปแบบ Original

ในช่วงเรียนมัธยม นุ้ยได้มีโอกาสใช้ชีวิตกับเพื่อนมากกว่าที่เคยเป็น ได้เจอกลุ่มเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่พากันไปทำอะไรสนุก ๆ กัน เช่นพ่นกราฟฟิตี้, เล่นสเก็ตบอร์ด รวมไปถึงการฟังเพลงฮิปฮอป ซึ่งในกลุ่มจะมีรุ่นพี่ของนุ้ยที่ทุกคนรู้จักกันดีนั่นคือ “Goh-M” อดีตสมาชิกวงบุดด้าเบลส

“ผมแทบไม่ได้เข้าเรียนเลย โดดเรียนตลอด เรามีความสุขที่ได้อยู่ในสังคมแบบนี้”

เขาได้เริ่มซึบซับเรื่องราวรอบ ๆ ตัวที่เกิดขึ้นไปโดยธรรมชาติ จนเริ่มรู้สึกหลงใหลการร้องแร็ปเป็นพิเศษ และได้มีโอกาสมารู้จักกับ F.Hero ในสมัยที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียง ก่อนที่จะออกผลงานในนาม “สิงห์เหนือเสือใต้” ซะอีก

โลกอีกใบของเขาได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว


“เด็กสลัมกับราชา กูโตมากันทั้ง 2 ถิ่น

รับรู้ความเอือมระอากับศักดินามาทั้ง 2 กลิ่น

แค่ได้ยินคุณคงไม่อาจจะเข้าถึง

ให้คุณมาเห็นกับตาสังคมที่มืดมิดทมึน

บรรยากาศแบบอึมครึมฟ้ามืด

คงต้องมีซักวันที่ถึงเวลาให้เด็กกำพร้ายืด

กับความเป็นจริงที่รันทด

มองไปที่ไหนก็เห็นแต่เพื่อนที่มีพ่อแม่อยู่กันครบ”

นี่คือ Rhymes แรกที่นุ้ยสามารถแต่งได้ทันทีที่รู้ตัวว่า กูต้องการเป็นแร็ปเปอร์ ซึ่งคนแรกที่ได้ยินไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ F.Hero นั่นเอง

“พี่กอล์ฟบอกผมว่า เฮ้ย! นุ้ยไหนมึงลองแร็ปให้ฟังหน่อยดิวะ”

วันนั้นเป็นครั้งแรกที่นุ้ยได้มาเยือนตึกของค่ายก้านคอคลับ และเป็นวันเดียวกันที่ตามไปดูคอนเสิร์ตของรุ่นพี่กลุ่มนี้อีกด้วย

การเริ่มต้นเขียนท่อนแร็ปไม่แน่ใจว่าแต่ละคนมองว่ามันยากหรือง่ายกันแน่ แต่สำหรับนุ้ยแล้วเขาบอกว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด การเขียนเพลงแรกก็ใช้เวลาไม่นาน มันจบได้ภายในหัวของตัวเอง เมื่อวัตถุดิบทุกอย่างผสมกันได้ลงตัว เขาก็สามารถเขียนมันออกเป็นเพลงได้เลย

แม้ตอนแรกจะคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่ฟลุค แต่พอมันทำได้ต่อเนื่องก็เลยเข้าใจว่ามันคือความสามารถที่เราทำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอาจจะมาจากความชื่นชอบชนิดที่ว่าลมหายใจเข้าออกก็มีแต่เพลงฮิปฮอปนั่นเอง


aka. ของ P9D เริ่มต้นจากการโดดเรียนไปเล่นไพ่กับเพื่อน พอมองไปดูเพื่อน ๆ รอบ ๆ ก็พบว่าแต่ละคนต่างมีฉายาของตัวเองกันหมดแล้ว

ในระหว่างที่กำลังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็นึกถึงคำว่า “ป๊อกเก้าเด้ง” ซึ่งมันมีความหมายว่า “กินรอบวง” ก็เลยถูกนำมาย่อคำกลายเป็น “P9D” แถมมันยังซ่อนความหมายถึงความต้องการเอาชนะการแบทเทิลกับเหล่าแร็ปเปอร์ให้ได้ทุกคน

นุ้ยถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ยอมต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเอง เคยออกไปทำงานหลากหลายอาชีพ ทั้งเป็นนักข่าวสยามกีฬา, ขายของแบรนด์เนม, เป็นคนคุมพนักงานแพ็กสินค้าและควบคุม QC โรงงานอาหารสุนัข, ขายอุปกรณ์การแพทย์, เป็นช่างภาพ รวมถึงเป็นพนักงานบริษัท Organizer

“ผมมองว่างานที่ได้เงินคืองานอดิเรก แต่งานเพลงคืออาชีพหลักของผมครับ”


เริ่มต้นจากพาร์ตเขียนเนื้อเพลงในส่วนของภาษาไทย นุ้ยได้หยิบเทคนิคที่เราเรียนภาษาไทยมาใช้ นั่นคือพวกคำสมาสและคำสนธิ

ภาษาไทยเป็นอะไรที่ไม่มีหลักตายตัว มีความอิสระ พลิกแพลงได้ ส่วนการเขียนภาษาอังกฤษจะมีความท้าทายกว่า เพราะไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา แถมยังมีเรื่องไวยกรณ์เข้ามาเกี่ยวข้องอีก แต่จากการสังเกตของนุ้ยก็พบว่าศิลปินในอเมริกาหลาย ๆ คนก็ไม่ได้ใช้ตามหลักอย่างถูกต้อง แต่จะถูกดัดแปลงออกมาในเชิงวลี หรือคำสแลง ซึ่งบางทีชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างประเทศอังกฤษหรือออสเตรเลียก็อาจจะงงกับสิ่งที่คนอเมริกันเขียนออกมาเช่นกัน

เรื่องราวของเพลงที่ถูกนำมาเขียนจะมาจากชีวิตจริง ตรงคอนเซปต์กับการนำเสนอความ Real มันเป็นการแคปเจอร์ช่วงเวลาสำคัญที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน มาจากประสบการณ์ของชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามอายุที่เดินหน้าไปทุก ๆ วัน ในบางครั้งก็ได้เพลงตอนตื่นนอน หรือระหว่างขี่มอเตอร์ไซด์ไปติดไฟแดงแล้วมีฝนตกลงมา

การใช้เสียงร้องจะมีการใส่ไดนามิกและอินเนอร์ลงไปในเพลงเพื่อให้ได้สัมผัสถึงอารมณ์ที่ต้องการสื่อสารออกมา

“ผมดูละครแล้วเห็นบทพูดของนักแสดงที่มันแตกต่างจากธรรมดา เพราะมันมีการใส่อารมณ์ ใส่น้ำเสียงลงไป ผมก็เลยเอามาใช้กับการร้องเพลงของผม”

พาร์ตการคิดบีตมาจากการทำความเข้าใจมากกว่าทางทฤษฎี ซึ่งบีตมักจะมาพร้อมเนื้อร้องท่อนฮุคในหัวไปด้วย พอเพลงใกล้เสร็จก็จะมองออกแล้วว่าเพลงนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ท่อนไหนควรเอาใครมาช่วยร้อง หลังจากนั้นก็ส่งต่อให้กระบวนการมิกซ์มาสเตอร์ที่ใช้หูของตัวเองเป็นตัวตัดสินว่าโอเคหรือไม่โอเค

อย่างไรก็ตามทุกผลงานจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอยู่กับจังหวะของอารมณ์ในการทำเพลงเป็นหลัก


1. JOEY BOY

“ผมฟังเพลงพี่โจ้ตั้งแต่อัลบั้มแรกเลย จนมาถึงอัลบั้ม Bangkok มันก็เริ่มเป็นฮิปฮอปมากขึ้น แล้วพอมาเป็นก้านคอคลับซาวด์ดนตรีมันก็ใช่เลย”

2. SPYDAMONKEE

“สมัยก่อนมีงานที่ไหนเราก็จะตามพวกพี่ ๆ ไปดูตลอด งานแรกที่เจอคือของงานเรดบลูส์ มีก้านคอคลับไปเล่น ได้เห็น Spydamonkey สแครชแผ่นเล่นเครื่องเทิร์นเทเบิ้ล เราก็เลยอยากเล่นบ้าง เราอยากถูแผ่นไป แร็ปไป”

3. F.HERO

“เขาก็เป็นคนที่เริ่มมาจากศูนย์ อาจจะมีความ Relate กับเรา เป็นเด็กบ้าน ๆ การศึกษาปานกลาง เข้าใจโลกแบบปานกลาง แต่รักในสิ่งที่ทำเหมือนกับเรา แล้ววันหนึ่งพี่กอล์ฟก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาก็มีเส้นทางอีกแบบที่ต่างกับเรา แต่เราก็พยายามนำสิ่งที่เขาสอน ที่เขาบอก จำมาใช้ในชีวิตตลอด”


แม้กระแสเพลงฮิปฮอปหลักทั่วโลกมักจะเล่าถึงเรื่องเซ็กส์, โชว์ความร่ำรวย และเรื่องยาเสพติด แต่ P9D กลับไม่ต้องการเดินตามกระแสเพื่อเล่าเรื่องเหล่านั้น

“เราคิดว่าถ้าจะทำเพลงเต้น เพลงเมา มันก็ทำได้ แต่ถ้ามีคนมาทำตามแบบเพลงที่เราแต่ง เราก็ต้องรับผิดชอบให้ได้ด้วย มันเคยมีเคสเด็กดูดกัญชาตามผม ตอนนั้นผมก็เสียใจมากนะ มันทำให้ผมรู้แล้วว่าเพลงมันมีข้อเสียกับคนอื่นได้จริง ๆ มันมีผลกระทบ ถ้าเราไม่สร้างตรงนั้นเพิ่มเราก็ไม่ได้สร้างกรรมเพิ่ม ผมคิดแค่นั้นจริง ๆ”

“เราไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ก็ได้ว่าเราไปมีเซ็กส์กับใคร เรารวยขนาดไหน เรื่องพวกนี้ผมคิดว่าผู้ใหญ่เขาไม่พูดกัน ผมไม่เคยได้ยินพี่ชายผมพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย เขาจะพูดกับผมแต่สิ่งดี ๆ ที่เหลือให้ไปเรียนรู้เอง เด็ก ๆ ไปบอกอะไรมันไม่ได้หรอก ทำให้เขาเห็นดีกว่าว่าอะไรเป็นอะไร”

“อย่างที่ผมบอกมันคือเรื่องเด็ก ๆ ที่พูดกัน ผมขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะ ลองไปดูรางวัล Grammy Awards เพลงที่ได้รางวัลไม่มีพูดถึงเรื่องแบบนี้เลยนะ เพราะมันต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ ผมอยากจะบอกว่าผมอยากได้รางวัล Grammy Awards ผมก็เลยทำเพลงที่ปลูกฝังอะไรบางอย่างลงไป ส่วนพวกเรื่องเซ็กส์มันทำได้ ขึ้นอยู่กับศิลปินที่อยากจะสื่อ แต่ในวัยเดียวกันผมไม่ได้ทำแบบนั้นเท่านั้นเอง”

“10 ปีที่ผ่านมาผมก็ทำให้เห็นแล้วว่าผมไม่เคยแร็ปเกี่ยวกับเรื่องยา ปาร์ตี้ ผมเลิกเที่ยวตั้งแต่ 18 แล้วครับ เราเอือมกับการเที่ยวอะไรแบบนั้นไปแล้ว ผมพยายามตัดขาดกับสิ่งเร้าพวกนั้น อยู่ไกลเส้นที่เกินขอบเขตมากที่สุด ผมจะชอบทำเพลงให้กำลังใจ เราจะดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาจากตัวเรา เราเป็นคนที่ท้อบ่อย ต้องคอยให้กำลังใจตัวเองตลอด มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีก็เลยหยิบมาเขียน เวลาผมท้อก็จะใช้วิธีการไปนอน คุยกับตัวเองซะก่อนนอน แต่ก็ยังมีคุณพ่อ ยังมีพี่ชายที่ให้คำปรึกษาได้ดีและตรงที่สุด พอเรานอนตื่นขึ้นมาก็ดีขึ้นเองครับ”

“ส่วนเพลงรัก ต้องรู้สึกจริง ๆ ถึงจะเขียน เพราะฉะนั้นจะมีเพลงรักน้อยมาก ผมไม่เคยหยิบมุมรักเศร้า ๆ มาเขียน ผมไม่อยากส่งต่อเรื่องพวกนี้ออกไป”


ชื่อเสียงของ P9D หลาย ๆ คนเริ่มรู้จักกับเพลงสไตล์ Diss หรืออ Disrespectful ที่วิจารณ์ผ่าน Rhymes อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน แต่ทั้งนี้เขาได้ยืนยันว่าสไตล์ดังกล่าวไม่ใช่ตัวชูโรงแต่อย่างใด

“จริง ๆ มันเคยมีคนพูดกับผมว่าอยากดังเลยทำแบบนี้ แต่ตอนที่ผมเริ่มแร็ปครั้งแรกเขายังไม่อยู่ในวงการนี้ด้วยซ้ำ ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดตรง ๆ เป็น Culture ที่พูดกันตรง ๆ อวดกันตรง ๆ ทำให้เกิดความหมั่นไส้ได้ง่ายมาก มันเลยทำเข้าใจได้ง่ายว่ากำลังดิสใครอยู่ แค่ฟังก็รู้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยชื่อเลยด้วยซ้ำ ด้วยความแคบของวงการ ด้วยบริบทของมันด้วย แต่ถามว่าผมใช้เป็นตัวชูโรงมั้ย? ผมว่าไม่ ผมจะไปแนวการให้กำลังใจมากกว่า”

“เรื่องดราม่าจากเพลงดิสผมว่าต่างประเทศมันก้าวผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะเขารู้กันหมดว่ามันเป็นการ Pushing กัน One Up, Another One Up ไม่มีใครยอมใคร ต่อสู้กัน มันจะเป็นการยกระดับ เป็นการสร้างมาตรฐานอะไรใหม่ ๆ ให้กับวงการ

ถ้าลองมองย้อนไปดู ไม่เคยมีเพลงดิสฮิปฮอปเพลงไหนในไทยได้ขึ้นหน้าหนึ่งสื่อออนไลน์ แต่ P9D ได้ขึ้น เพราะว่าคนให้ความสนใจ ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้นนะ เพราะเราแค่คนเดียวทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายมันเป็นการเปลี่ยนความรุนแรงให้กลายเป็นศิลปะในอีกรูปแบบหนึ่ง ผมมองแบบนั้นครับ”


เรื่องดราม่าอีกหนึ่งสิ่งที่เรามักจะเห็นอยู่คู่กับ P9D อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะกับทาง Already Deadd กลุ่มฮิปฮอปชื่อดังของบ้านเราที่เคยเป็นเรื่องราวใหญ่โตซัดกันไปมาจนโลกอินเตอร์เน็ตลุกเป็นไฟ ซึ่งนุ้ยได้มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า

“มันไม่น่าจะลุกลามมาถึงขนาดนี้ ถ้าตอนแรกมันมีการคุยหลังไมค์ด้วยความเข้าใจ แต่ว่าตอนนี้มันสายไปที่จะพูดเรื่องพวกนี้แล้ว ‘เขามีปืน เรามีปืน’ มันก็แค่นั้นเองครับ”

“ส่วนเรื่องการรับมือจริง ๆ ไม่ได้รับมืออะไรเลย ก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ผมจะห่วงความรู้สึกพ่อแม่มากกว่า ผมกลัวกระทบจิตใจคนในครอบครัวมากกว่า ผมว่าเราทุกคนต่างก็ห่วงคนรอบข้างเสียใจ แต่ก็เข้าใจได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะปกติเราโดนแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แล้วเวลาเราจะทำอะไรซักอย่างมันต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว”

“ถ้าใครอยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็อยากให้ลองมาถาม มาคุยกันเลย เราจะได้อธิบายให้ชัดเจน ทุกอย่ามันมี 1-2-3 มีที่มาที่ไป แต่ถ้าเลือกจะฟังจากในเน็ตมันก็ตามนั้น เราไม่รู้จักใครจริง ๆ หรอกถ้าไม่ได้ใช้ชีวิตกินนอนด้วยกันเกิน 3 วัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไง เขาเป็นคนมีน้ำใจหรือเปล่า มีมารยาทหรือเปล่า โลภหรือเปล่า เราไม่มีทางรู้หรอกครับ”


ตามปกติแล้วศิลปินถ้าอยากให้เพลงเป็นที่รู้จัก ต้องการสร้างชื่อเสียงเพื่อต่อยอดไปสู่ความสำเร็จ มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้ทั้ง Marketing และการโปรโมตมาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ไปได้ตามเป้าหมาย แต่สำหรับ P9D กลับทำสิ่งตรงข้ามทั้งหมดแม้ตัวเองจะจบสาขาโฆษณามาก็ตาม

นุ้ยมองว่าการตลาดจะทำให้เพลงเขาดูไม่จริง ต้องวัดกันที่ยอดออร์แกนิค สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการให้เพลงมันทำงานไปตามทางของมัน ไม่ต้องสนแม้กระทั่งเรื่องเวลาปล่อยเพลงเพราะเขาเคยปล่อยเพลงในช่วงเวลาที่ไม่มีใครเขาทำกันเช่น ตี 2, ตี 3 หรือแม้กระทั่งตี 5 ก็ทำมาแล้ว

P9D เป็นศิลปินที่ไม่มีความคิดที่จะเอาเพลงตัวเองไปเร่ขายใคร ซึ่งหมายถึงจะไม่ยอมทิ้งตัวตนการทำเพลงสไตล์โอลด์สคูลเพื่อไปทำเพลงเอาใจตลาด และเพื่อไปเสนอค่ายเพลง เพราะมันเปรียบเสมือนคำมั่นใจสัญญาของอัศวินโต๊ะกลมที่เคยลั่นวาจาเอาไว้

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการทำเพลงก็แค่การได้อ่านคอมเมนต์ ได้รับคำชม เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว


“Real Records มาจากความจริง ตอนแรกก็อัดเพลงกันที่บ้านหลังนี้ (บ้านที่ชุมชนบ่อนไก่) เราใส่เสื้อผ้าที่ใส่กันในชีวิตประจำวัน เราพูดเรื่องจริงของเราที่เจอกันมาในทุกวัน ถ้าให้เราไปทำแนวอื่น มันก็ไม่ใช่ตัวเราจริง ๆ ถ้าเรามีเงินเราก็คงไม่กดมาเป็นฟ่อน หรือลงทุนไปกดเงินมาโชว์ Flex มันไม่มีเหตุผลที่จะไปทำอะไรแบบนั้น ผมว่าทำอะไรเหตุผลต้องมาก่อน”

“พวกเรื่องยอดวิวไม่มีผลกระทบเลยสำหรับเรา เรามี MV ที่ไม่ได้สวยเหมือนชาวบ้านเลยนะ แต่ยอดวิวเรากลับสูงกว่าคนที่ถ่ายออกมาดี ๆ ด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ยอดวิวมันทำลายกำแพงค่ายใหญ่ค่ายเล็กไปแล้ว”

“อีกหนึ่งเป้าหมายเราอยากเปิดบริษัทของตัวเองให้ได้ คือแกรมมี่เป็นแบบไหนเราก็อยากเป็นแบบนั้น นี่คือความฝันสูงสุด แต่จะทำได้หรือไม่ได้ก็อีกจุดหนึ่ง ผมอยากจะลงแรงทำมันหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องเหมือนกัน มันก็มีปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่างไม่ใช่ผมแค่คนเดียวครับ”

“รายได้หลัก ๆ ของเรามาจากตัวเพลง รับทำบีต ทำเพลงด้วย รวมไปถึงการจำหน่าย Merchandise ด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้สบายขนาดนั้นนะ แต่เราเป็นคนที่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ไม่ว่าจะมีมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ก็ตาม ทุกวันนี้จริง ๆ แล้วศิลปินทุกคนก็มีรายได้กันหมดแล้ว มากบ้าง น้อยบ้าง ส่วนมันจะยิ่งใหญ่หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตลาดมากกว่า เขาจะอิน จะเข้าใจในสิ่งที่เราทำขนาดไหน”

“Real Records มันเป็นค่ายที่เป็นเรื่องของผู้คนมากกว่า การอัดเพลงไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ใดที่หนึ่ง ผมก็ยกไปอัดที่อื่น ๆ ได้ เช่นในห้องของเพื่อน ผมก็ยกไมค์ไปแขวนใช้สก็อตเทปแปะ ใช้โน๊ตบุ๊กมาอัด เราอัดตรงไหนก็ได้ กลางถนนก็อัดได้ นั่นแหละความหมายของค่าย มันไม่มีสถานที่ที่หรูหรา ไม่มีห้องอัด 2 แสนที่บุห้องเป็นอย่างดี ไม่มีภาพโปรโมต แต่เราทำเพลงได้จากทุกที่จริง ๆ นี่แหล่ะ Real Records”


1. AT

2. THAIDOGG

3. NA$A

4. DA TERK

5. JOEBIZ

ทั้งศิลปิน 5 ศิลปินของ Real Records คือคนที่อยู่เคียงข้างกับ P9D ในวันที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาท้าทายในชีวิต พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนที่มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้มาจากสังคมไฮโซหรือร่ำรวย แต่ทุกคนมีความชื่นชอบในฮิปฮอปเหมือนกัน ที่สำคัญมีความซื่อสัตย์ นิสัยดี เป็นสิ่งที่เจ้าของค่ายทุกคนอยากจะเจอศิลปินแบบนี้


หากมีนายทุนต้องการซื้อค่าย Real Records แต่มีเงื่อนไขจะต้องทำเพลงเอาใจตลาด ทำเนื้อหาเกี่ยวกับเซ็กส์ เกี่ยวกับ Flex จะยอมรับข้อเสนอหรือไม่?

“อย่างแรกต้องขอบคุณก่อน ต้องขอบคุณที่เล็งเห็นค่าของ Real Records แต่ถ้าอยากให้เราทำแบบนั้นจริง ๆ ไม่ต้องมาซื้อเราก็ได้ ไปเปิดค่ายใหม่ของตัวเองเลยง่ายกว่า เพราะฉะนั้นข้อเสนอเงินมหาศาลก็ต้องถามก่อนว่าจะเอาไปทำอะไรก่อน ถ้าคุณซื้อเราเพื่อจะเปลี่ยนเรา เงินเท่าไหร่มันก็ไม่มีค่าหรอก คุณสามาถซื้ออะไรก็ได้ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ แต่คุณซื้อ Respect ไม่ได้”


ความฝันของ P9D อยากเห็นศิลปินฮิปฮอปไทยได้โกอินเตอร์ข้ามฝากไปยังฝั่งอเมริกา ซึ่งฮิปฮอปมีโอกาสไปได้สูงกว่าแนวเพลงอื่น ๆ เช่นเรื่องของเสียงที่ไม่ต้องใช้ความไพเราะมาก ในปัจจุบันก็มี 1MILL ที่ได้ไปร่วมงานกับต่างประเทศแล้ว เพราะฉะนั้นศิลปินไทยจำเป็นต้องรับภาษาอังกฤษเพิ่มให้มากขึ้น รวมไปถึงแฟนเพลงก็ต้องเสพเพลงภาษาอังกฤษให้มากขึ้นเช่นกัน และต้องพยายามเอาใจใส่เนื้อหาที่ศิลปินสื่อสารออกมา อย่าด่วนตัดสินใจจากการได้ยินเพียงผิวเผิน

ในเรื่องของคำแนะนำต่อศิลปินฮิปฮอปไม่ว่าจะรุ่นเก่ารุ่นใหม่หรือคนที่กำลังคิดจะก้าวเข้าสู่วงการนี้ ทาง P9D ต้องการฝากไว้ว่า

“ข้อ 1.ในวงการนี้ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเอง ผมพยายามทำเพลง ทำบีตมาด้วยตัวเอง โอเคถ้าไปอยู่ค่ายอาจจะมีคนช่วยทำนู่นทำนี่ แต่คุณก็ต้องเริ่มจากตัวคุณเองให้ได้ก่อน”

“และข้อ 2. อย่าล้มเลิก ถ้าวันไหนเลิกคือจบเลย ผมมีเพื่อนในรุ่นเดียวกัน มีทั้งไปเรียนซาวด์เมืองนอก มีเงินทำธุรกิจ แต่วันนี้เขาไม่ได้มีอย่างที่ผมมี และผมก็ไม่ได้มีอย่างที่เขามี แต่ผมก็ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี อย่างโลภ ต้องกตัญญู ใส่ใจคนรอบข้างให้มากขึ้น มีเรื่องให้น้อย ๆ ส่วนที่เหลือมันคือเรื่องของพรมลิขิตครับ”


“Thug Life” ซิงเกิ้ลล่าสุดของ P9D เป็นบทเพลงที่ต้องการอยากจะบอกคนที่สาปแช่งให้เขาตายไปในช่วงเจอปัญหาหนัก ๆ เมื่อปีที่แล้วว่า

“ณ ตอนนี้กูมีความสุขมาก และยังยืนหยัดอยู่ได้บนความเกลียดชังของพวกมึง”

และเพลงนี้ยังมีท่อนที่ขอบคุณ Joey Boy, F.Hero และ Spydamonkee ที่เป็นคนคอยนำทางให้เขามายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้

และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด มากกว่าเรื่องของยอดวิวคือ

“การทำให้แฟนเพลงรู้สึกว่าผมเหมาะสมกับรางวัล RIN Awards 2021 ที่ได้รับมา”


ทาง Unlockmen ต้องขอขอบคุณ P9D และครอบครัวที่ชุมชนบ่อนไก่ที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณที่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้รู้จักความ Real ที่ไร้การเสแสร้งเจือปนด้วยครับ

Photographer : Krittipas Suttikittibuth

Thailand Sport Magazine Sponsored
ผู้สื่อข่าว กีฬา

ข่าวกีฬา นักกีฬา กีฬา ในร่ม indoor outdoor ต้องทำ sport ให้เป็น กีฬา หลักของประเทศ ดูข้อมูล กอล์ฟ บาสเก็ตบอล ฟุตบอล ว่ายน้ำ วอลเล่ย์บอล มวย แข่งรถ แบดมินตัน และ อีสปอร์ต Dedicated to all sport news from Thailand, with news updates, stories and event reports on many different types of sporting activities that the Thailand currently holds, across all of the asia.

This website uses cookies.