เอาความจริงสู้กับความรู้สึกแย่ๆ แอนชิลี เปิดทุกเรื่องราวความรักที่เคยทำให้เจ็บ และเก็บมาเป็นบทเรียนให้เรียนรู้ที่จะรัก
เมื่อ ‘แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2021 ผู้หญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเกินร้อย พร้อมผลักดันให้สาวๆ สวยในแบบตัวเอง ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เปิดทุกเรื่องราวของหัวใจกับความรักที่ผ่านมาเคยทำให้เจ็บและได้เก็บมาเป็นบทเรียนให้เรียนรู้ที่จะรัก
ไม่มีใครมาจีบเราแล้วเราไปจีบใครหรือเปล่า
แอน แอนชิลี : มีค่ะ มีผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนเราก่อนคือไปเล่นบาสเกตบอลด้วยกัน ไปเล่นวอลเลย์บอลด้วยกัน ตอนนั้นก็จะฝึกด้วยกันไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วก็เวลาเราใช้เวลากับคนเยอะๆบางทีเราก็เริ่มแบบฮือ .. น่ารักประมาณนี้ คนนี้สูงมากเกือบ 2 เมตรสูงมากแล้วโครงสร้างใหญ่มากนะคะ มันก็เหมือนแบบเหมาะกัน แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลงนะคะ แต่กลับทำให้เรารู้สึกแบบเท่ห์ แล้วก็เป็นนักกีฬาทั้งคู่อารมณ์อย่างนั้นมากกว่าค่ะ
แอน ก็เลยจีบ จีบอย่างไร ??
แอน แอนชิลี : ใช้เวลากับเขาเยอะๆ หาข้ออ้างแบบไปฝึกบาสเกตบอลกันไหม ไปวิ่งกันไหม ทุกอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบเราทำทุกอย่างพร้อมกัน แอน จำได้มีใครมาบอกเราว่าผู้ชายจะชอบถ้าเราใช้เวลากับเขาเยอะๆ ถ้าเขาให้เวลากับเราเยอะๆแปลว่าเขาเริ่มชอบแล้วเราก็หาทุกวิธีทางให้เขามาแบบมาให้เวลากับเราเลิกเรียนแล้วก็ไปๆมาๆมันก็เวิร์ก แล้วบางทีมีถามคุณแม่ด้วยนะว่ายังไงดี คุณแม่ก็แบบสิ่งที่ทำก็ถูกแล้วค่ะ ทำไปเรื่อยๆๆ
ซึ่งถือว่านี่คือรักครั้งแรกไหม ???
แอน แอนชิลี : ครั้งแรกค่ะ
แต่แนวคิดหนึ่งของน้องแอนชิลี ที่น่ารักคือ มีความรักครั้งใดที่บ้านรู้ก่อนตลอด
แอน แอนชิลี : ใช่ค่ะ คือ ความคิดของ แอน นะคะ คุณพ่อคุณแม่เรามีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้วเขาผ่านมาแล้ว แล้วความสำคัญของที่เราพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ เราจะได้คำแนะนำที่ดีแล้วจะให้คุณพ่อคุณแม่แบบมีความเคารพกันและกันค่ะ แล้วก็ความไว้วางใจ แอน คิดว่าสำคัญมากๆเพราะว่าถ้าอะไรเกิดขึ้นคุณพ่อคุณแม่เรารับรู้ก่อนได้ ถ้าอะไรผิด แบบเราผิดหวังคุณพ่อคุณแม่จะมาดูแลเราได้แล้วก็บอกได้ว่า อันนี้แม่เจอมาแล้วนะไม่ดีนะ อันนี้แม่เจอมาแล้วดีทำต่อได้ แอน คิดว่าความที่เราซื่อสัตย์กับคุณพ่อคุณแม่มันจะช่วยเราในการที่เราจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หวงดุนะคะ แต่ว่าก็มี ห้ามไม่ให้การเรียนเสีย ห้ามไม่ให้การกีฬาเสีย คือ จะให้เราทำได้ถ้าสิ่งที่หนูทำเพื่อตัวเองไม่เสียพร้อมกันค่ะ จริงๆคุณพ่อคุณแม่รับฟังเราทุกอย่าง คิดว่ามันต้องมีการพูดคุยกันอย่างซื่อสัตย์กันจริงๆเรื่องความรักตอนเด็กๆด้วยค่ะเพราะว่ามันเหมือนปูทางให้เราพูดกับคุณพ่อคุณแม่ได้เรื่อยๆถึงทุกวันนี้ค่ะ
แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ แอน ไม่กล้าบอกกับคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องความรักเพราะอะไร
แอน แอนชิลี : ตอนแรก แอน ก็จะบอกคุณพ่อคุณแม่ทุกอย่างนะคะ แล้วไปเรื่อยๆมันก็หยุดบอกเพราะว่าความสัมพันธ์มันแย่มากเราไม่อยากฟังคนอื่นมาแบบ เพราะมันแย่มากจนเราไม่กล้าบอกใครแล้วเราผิดตรงนั้น เพราะเราไม่ได้บอกทุกอย่างคุณพ่อคุณแม่ หรือเพื่อนสนิทคนที่เราเชื่อถือ จนมันถึงจุดที่แย่ที่สุดได้ เพราะว่าเราอยากปกป้องเขาเพราะเราไม่อยากให้คนรอบข้างเรารู้สึกไม่ดีกับเขาแล้วก็ส่วนหนึ่งที่อยากปกป้องตัวเองเพราะไม่อยากฟังคนอื่นมาพูดว่าอันนี้ไม่ดีนะ เพราะว่าเดี๋ยวเราก็ต้องกลับมาเหงากลับมาอยู่ในประเทศคนเดียวอีกแล้ว ก็เลยไม่บอกใครเลย
น้องแอน พอจะแชร์ได้ไหมเอ่ยเผื่อจะเป็นวิธีคิดให้กับหลายๆคนที่มีความรักคือเวลาที่เรารู้สึกว่าหนึ่งเรากลัวเหงา กลัวไม่มีใครบางคนเลือกอดทนแม้ว่าความสัมพันธ์มันจะแย่ถึงที่สุดแล้วก็ตาม น้องแอน เจออะไรบ้างในตอนนั้น
แอน แอนชิลี : เจอเยอะมากเลยค่ะ จริงๆมีการด่า มีการผลัก มีการตบทำร้ายร่างกายก็โดนในฐานะแบบ การทำร้ายร่างกายในครอบครัวในมุมมองของกฎที่ออสเตรเลียค่ะ แล้วมันเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆคือมัน อธิบายอย่างไรดีมันรู้สึกเหมือนทุกอย่างแบบเฟลไปหมดเราหยุดให้ค่าตัวเองเลยเพราะว่ามันไปถึงจุดนั้นแล้ว แล้วก็คือทำไมเราไม่ได้บอกใครเพราะว่ามันแย่ขนาดนั้นเพราะตอนแรกเราอดทนแต่ไปๆมาๆแล้วมันไม่ใช่ค่ะ เราไม่ควรอดทนเรื่องนี้มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปกติมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง คือมันเป็นสิ่งที่สำคัญแล้วแย่มากๆที่เราต้องให้คนมาซัพพอร์ตเรามาช่วยเราผ่านจุดนี้ได้ค่ะ
ตอนนั่นที่ทนเพราะอะไร เพราะคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอีกแล้วเมื่อเราคุยกันรู้เรื่องครั้งนี้ ทำไมถึงอดทน
แอน แอนชิลี : เราไม่ค่อยรู้มันเหมือนโมเมนต์คนที่เราเป็นตอนนั้นมันเหมือนแบบเราอายุเพิ่งจะ 20 ปี มันเหมือนเราไม่ให้ค่าตัวเองแล้วเราก็เลยให้คนอื่นมาให้ค่าเราแทนมันก็เป็นเหมือนวงจร แล้วเวลามันเป็นเรื่องการทำร้ายร่างกายในครอบครัวเราต้องดูว่ามันเป็นวงจร เราจะทะเลาะกัน เราจะง้อกัน เราจะดีกันตอนที่เราดีกันง้อกันความรู้สึกเราจะสูงมากเลยเราจะรู้สึกแฮปปี้มากๆแล้วก็จะลงอะไรที่มันขึ้นลงได้เร็วๆ เราคิดว่ามันโชว์ แล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีถึงทุกวันนี้เรายังไม่รู้ว่าหนูอดทนได้อย่างไร เพราะเราคิดว่าเราแค่ไม่ได้ให้ค่าตัวเองเพราะว่าเราหาทุกเหตุผล ที่มีอยู่บนโลกนี้ว่าทำไมเราต้องอดทน และเราก็ไม่ได้รักเขามากมายอะไรขนาดนั้นที่ทำให้เราอดทนนะคะ น่าจะตอนนั้นความคิดของเราสับสนไปหมดเลยเพราะว่าเราไม่ได้ปรึกษาใครเลยด้วยถ้าย้อนนี้มองย้อนกลับไปตอนนั้น เราคิดว่าเราแค่เหงา
แล้วเราผ่านตรงนั้นมาได้อย่างไร
แอน แอนชิลี : เพราะว่ากฎหมายที่นั่นถ้ามันอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาจะไม่ปล่อยเลย มันมีกฎในกฎที่มันเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายในครอบครัวเขาต้องหาหลักฐานให้ครบ ถ้าไม่เจอจริงๆโอเคปล่อยได้ แต่ถ้าเจอคือเขาห้ามปล่อยเคสนี้เด็ดขาด !! แต่สำหรับเคสเราเจอหลักฐาน เราก็ปล่อยให้เขาดำเนินการไปเลยค่ะ แต่เหมือนเขาไม่ได้ทำให้เรานะคะ แต่เขาทำเพราะว่ามันเป็นกฎหมายของเขาเป็นปกติที่เขาทำให้ทุกคนที่ได้รับความเดือนร้อนเรื่องนี้ค่ะ
ซึ่งถ้ามองข้ามกลับมาบ้านเราบ้านเราเวลาที่มันมีเรื่องราวของความรักความสัมพันธ์บางคนไม่ยุ่งด้วยซ้ำเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็จบ ซึ่งหลายๆครั้งไปถึงขั้นทำร้านร้ายร่างกายจนเสียชีวิตจริงๆแล้วก็มานั่งเสียใจทีหลังเพราะงั้นกฎหมายของ ออสเตรเลีย เลยคือความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่
แอน แอนชิลี : ใหญ่ค่ะ ใหญ่มาก
ในฐานะคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดตรงนั้นมาแล้วเรามาให้วิธีคิดกันมันมีวิธีการสังเกตไหมถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีอารมณ์ประมาณนี้ให้เราหวั่นไว้ก่อนไหม ว่ามันมีโอกาสที่เขาจะมีความรุนแรง ในการใช้ชีวิตของเขาได้
แอน แอนชิลี : แอน คิดว่าอันแรกที่ แอน เจอเลยที่ย้อนกลับมาคิดคือโกรธง่ายหายง่ายแล้วโกรธแรงค่ะ แล้วถ้าเราติดความรู้สึกที่เราได้เวลาเราถูกง้อ แบบเหมือนติดความรู้สึกขึ้นๆลงๆตลอดเลย มันตอนมันสูงมันก็สูงมากๆ แต่เวลามันตกมันก็ตกมากเรารู้สึกว่าเวลามันขึ้นๆลงๆแบบนี้มันไม่ปกติค่ะ
แอน แอนชิลี : ร้องไห้เต็มๆน่าจะประมาณ 5-6 เดือน มันยาวคือแบบ แอน เป็นคนที่เวลารักใครจะให้เต็มที่ หรือว่าเคยเป็นคนอย่างนั้นมากกว่าจะให้ 100 เปอร์เซ็นต์จนมันไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองค่ะ แต่ แอน โชคดีเพราะว่าเราพูดกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่แรกเขารับรู้ทุกอย่างแล้วเราไปฟังทุกอย่างที่คุณแม่เราสอนเรา จำได้เลยบทเรียนที่เรายังใช้ถึงทุกวันนี้ค่ะ คุณแม่จะบอกว่าอยู่กับความรู้สึกนั้นแบบต้องมันรู้ว่ารู้สึกแบบนี้เราก็บอกเลยว่าแล้วอย่างไร มันก็เป็นแค่ความรู้สึกแล้วทำไปเรื่อยๆมันก็หายไปค่ะ
ก็เป็นวิธีคิดอีกแบบหนึ่งเพราะว่าบางคนหนี ฉันจะต้องเปลี่ยนความสนใจ เพื่อจะได้ทำให้เศร้าน้อยลง ฉันจะต้องลืม หรือบางคนบอกเอาใจไว้ที่อื่น แต่ แอน คือไม่เลยชนเลย
แอน แอนชิลี : ชนเลยมันทำให้เราผ่านมันได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ค่ะ แอนคิดว่าถ้าเราไปโฟกัสเรื่องอื่นมากเกินไปมันจะไม่ให้ร่างกายหรือความรู้สึกของเรามัน process จริงๆทำให้มันผ่านตัวเราได้จริงๆเราก็เลยแบบเต็มที่ ร้องก็ร้องไม่เป็นไร ความรู้สึกของมนุษย์ที่ปกติแล้วก็เชื่อว่า โดยเฉพาะคุณแม่ แอน ต้องบอกเลยคุณแม่ แอน คือ … สอนการเยียวยาได้ดีมากๆเลยค่ะ
แปลว่าคนคนนั้นมีผลต่อใจ แอน เหลือเกินถึงขั้นที่คนใหม่ๆจะเข้ามา แอน เอาไปเปรียบเทียบไหม ??
แอน แอนชิลี : เปรียบเทียบค่ะ แต่มันผิดนะ แอน คิดว่าตอนนี้กลับมาคิดแล้วมันผิดนะ เราไม่ควรเปรียบเทียบเพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกันแล้ว แอน ก็ปิดโอกาสหลายๆอย่างเลยเพราะว่าความคิดนั้น ตอนนั้นคือ ปิดใจไปเลยไม่เปิดรับใครเลยค่ะ เหมือนมันเข็ดเพราะกลัวต้องกลับไปเจอความรู้สึกแบบนั้นอีกก็เลยไม่ได้ให้ใครเข้ามาเลยค่ะ
แต่ในที่สุดความรักครั้งต่อมาก็มีอีก
แอน แอนชิลี : ใช่ค่ะ ห่างกันประมาณ 2 ปีครึ่งค่ะ
แล้วทำไมคนนี้ถึงฝ่ากำแพงเข้ามาได้
แอน แอนชิลี : ช่วงนั้น แอน เพิ่งย้ายไปออสเตรเลียนะคะ ช่วงนั้นก็มันมีความเหงาแล้วกัน ความเหงาที่แบบอุ้ย !! เราอยู่ในผระเทศที่แตกต่างกันมากเลย โอเค แอน อาจจะเป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย แต่เราไม่ได้เติบโตที่นั่นค่ะ มันก็เลยมีความแบบกังวลแล้วพอดีมาเจอเขาค่ะ เที่ยวแล้วเจอแล้วก็หัวเราะหนักมากมันเหมือนลืมทุกอย่างเรื่องเหงาค่ะ ก็ยังคงตัวสูงเหมือนเดิมค่ะ
ซึ่งทุกครั้ง แอน มักจะเป็นคนเข้าไปจีบก่อนแล้วคนนี้ ??
แอน แอนชิลี : คนนี้เขามาจีบ แอน ก่อนค่ะ แล้วเราก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วเนอะแล้วเราก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้วมันก็ตามวัยก็เลยเปิดใจดู
เผยแพร่: 3 มิ.ย. 256…
This website uses cookies.