Thailand Sport Magazine Sponsored

“คีธ ฟิตซ์ฮิวจ์” : พนักงานสถานีรถไฟที่ปฏิเสธข้อเสนอจากทีม NFL ด้วยความเต็มใจ – Sanook

Thailand Sport Magazine Sponsored
Thailand Sport Magazine Sponsored

ไม่ว่าจะยากดีมีจน หากเป็นชายชาวอเมริกันพันธุ์แท้ ไม่ว่าใครก็ย่อมมีฝันในวัยเด็กที่จะเป็นนักกีฬาอาชีพกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพ นักอเมริกันฟุตบอล

นี่คืออาชีพที่นำพามาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ และความร่ำรวย สามารถพลิกชีวิตเด็กข้างถนนให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย มันคือโอกาสที่เมื่อมาจ่อที่หน้าใครคนนั้นก็ต้องคว้าไว้อย่างไม่ลังเล

ยกเว้นไว้คนนึง และเขาคนนั้นคือ คีธ ฟิตซ์ฮิวจ์ อดีตนักอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัยตัวท็อปของประเทศที่ขอปฏิเสธอาชีพในฝัน และเลือกที่จะเป็นพนักงานรถไฟธรรมดา ๆ

การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้สื่อทั่วอเมริการุมถามเขาว่า “ทำไม ?”

และนี่คือคำตอบของเขา มาติดตามกันได้ที่ Main Stand

ต้องรวย! 

ไม่ว่าจะยากดีมีจน หากเกิดมาเป็นชายชาวอเมริกัน ไม่มีใครที่ไม่เคยฝันว่าพวกเขาจะได้กลายเป็นนักกีฬาอาชีพ โดยเฉพาะกีฬาที่ทำรายได้ต่อปีมหาศาลอย่าง บาสเกตบอล หรือ อเมริกันฟุตบอล 

คีธ ฟิตซ์ฮิวจ์ เองก็ไม่ต่างกัน ด้วยปูมหลังของครอบครัวที่ไม่ได้ถึงกับไม่มีกินแต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก พ่อแม่ของเขาคบกันตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่ก็ยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูก ๆ ทั้ง 3 คนได้

ครอบครัว ฟิตซ์ฮิวจ์ เป็นศาสนิกชนที่เคร่งศาสนา เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ทุกเย็นทุกคนต้องมานั่งที่โต๊ะอาหารและทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งทำการบ้าน ทำความสะอาดบ้าน เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีความสุขแม้จะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะมีความสุขขนาดไหน แต่ก็ไม่มีครอบครัวไหนที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทอง แม่ของ คีธ เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ส่วนพ่อของเขาเป็นลูกจ้างของสถานีรถไฟที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐฟลอริดา แน่นอนว่าเงินเดือนของพ่อและสวัสดิการต่าง ๆ ไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาตามมา 

น้องสาวคนสุดท้องที่ชื่อว่า บริตทานี เป็นเด็กที่สุขภาพไม่แข็งแรงและมีอาการป่วยมาตลอด จนกระทั่งมาเสียชีวิตตอนอายุ 14 ปีด้วยโรคแทรกซ้อนของไวรัสเวสต์ไนล์ สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนทั้งครอบครัว 

คีธ ในฐานะพี่คนโตที่เข้าใจความลำบากของพ่อและเริ่มมองโลกผ่านความเป็นจริงมากกว่าจินตนาการ การเสียน้องสาวจากโรคภัยไข้เจ็บทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าครอบครัวของเขามีเงินมากกว่านี้ น้องของเขาก็อาจจะไม่ต้องมาจบชีวิตตั้งแต่ยังเด็กก็ได้ 

สำหรับวัยรุ่น วัยทีนเอจ จะมีอาชีพไหนที่ทำเงินมหาศาลและยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักมากไปกว่าการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลอาชีพ ? คีธ คิดเช่นนั้น และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าแม้โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้นได้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อตั้งใจแล้วและมีแรงผลักดันที่ชัดเจนขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ยอมทุ่มสุดตัวเพื่ออาชีพที่จะสามารถกอบกู้ครอบครัวของเขาได้

ล่าฝันอเมริกันดรีม 

คีธ เริ่มเล่นอเมริกันฟุตบอลอย่างจริงจังในช่วงมัธยม โดยเริ่มเล่นในตำแหน่ง “เซฟตี้” หน้าที่หลัก ๆ ของเซฟตี้คือเป็นด่านสุดท้ายที่คอยสกัดผู้เล่นฝั่งตรงข้ามไม่ให้ทำแต้มได้ และคอย “อินเตอร์เซป” (ขโมยบอลที่ควอเตอร์แบ็กขว้างหาเป้ารับบอล) เพื่อทำให้ทีมตัวเองกลับมาเป็นฝ่ายบุก 

คุณสมบัติของคนที่จะเป็น เซฟตี้ ได้คือต้องแข็งแรง รวดเร็ว และมีทักษะการอ่านเกมในระดับหนึ่ง ซึ่งในช่วงมัธยม คีธ ทำได้ดีมาก เขากลายเป็นดาวเด่นของทีมโรงเรียน มีการทาบทามจากหลายมหาวิทยาลัย และสุดท้ายเขาก็เลือกทุนนักกีฬาของมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี โดยคนที่เลือกให้ทุนเขาด้วยตัวเองคือ ซิลเวสเตอร์ ครูม 

ในระดับมหาวิทยาลัย คีธ ถือเป็นดาวเด่นของมหาวิทยาลัย โดยผลงานของเขาถือว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุก ๆ ปี ในปี 2005 เขาลงเล่นไป 11 เกมทำไป 13 แท็คเกิล, ในปี 2006 เขาลงไป 12 เกม ทำไปอีก 59 แท็คเกิล และดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปีสุดท้าย คีธถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นตำแหน่งเซฟตี้ที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 12 ของระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกา ตัวเลขนี้ไม่เลวนัก เขาสามารถคาดหวังว่าจะถูกเลือกจากทีมต่าง ๆ ในการเข้าดราฟต์ของ NFL ในปี 2009 ได้ 

อย่างไรก็ตามความเข้มข้นและแตกต่างของระดับมหาวิทยาลัยกับระดับอาชีพนั้นมีมากพอสมควร นี่คือโลกที่ไม่ได้วัดกันแค่เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกแล้ว คีธจะต้องดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเบียดตำแหน่งกับเซฟตี้มือดีมีประสบการณ์ของทีมต่าง ๆ เขาต้องแสดงสิ่งนี้ให้ทีมใน NFL เห็นให้ได้ และน่าเศร้าที่บางครั้งชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง 

เขาเลือกเข้าดราฟต์ในปี 2009 นี่คือการเดิมพันที่สำคัญมาก เพราะผู้เล่น 1 คนสามารถเข้าดราฟต์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันเหมือนสวรรค์กับนรกที่ถูกคั่นไว้ด้วยเส้นบาง ๆ หากคุณได้เลือกเข้าทีมใดทีมหนึ่งคุณจะได้สัญญาอาชีพ ได้เงินค่าเซ็นสัญญา และการันตีว่าจะมีรายรับแน่ ๆ กี่ปีก็ว่ากันไปตามสัญญาที่ตกลง

แต่ถ้าคุณเกิดไม่เข้าตากรรมการขึ้นมาละก็ คุณจะไม่สามารถกลับเข้ามาดราฟต์เพื่อฟันเงินก้อนโตได้อีก … ศูนย์ดอลลลาร์กับหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นความต่างแบบง่าย ๆ ซึ่ง คีธ เป็นฝั่งที่เสี่ยงทายและได้เลขศูนย์มาในตอนจบ 

เขาพยายามแล้วที่จะดิ้นอีกเฮือกเพื่อขอเข้าทดสอบกับ นิวยอร์ก เจ็ตส์ และ บัลติมอร์ เรเวนส์ ในช่วงปี 2009-10 ซึ่งการทดสอบนี้ไม่มีค่าจ้างมากมายให้ มีแต่ต้องแสดงผลงานเพื่อให้ทีมยื่นสัญญาอาชีพให้กับเขาให้ได้ เพียงแต่ว่าเซฟตี้อันดับที่ 12 ในระดับมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ดีพอสำหรับสิ่งนั้นอยู่ดี … ถึงเวลาปิดฉากโลกแห่งความฝัน ได้เวลาแล้วที่เขาต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริง

หาหัวใจให้เจอ 

โอกาสทุกโอกาสบนโลกใบนี้ไม่เคยหยุดรอใคร 1 โอกาสที่เสียไป ย่อมมีโอกาสใหม่ ๆ ผ่านเข้ามาเสมอ สำหรับคนที่มีโอกาสนั้นพวกเขาจะต้องคิดทบทวนให้ดีและมีเวลาไม่มาก เพราะหากไม่สามารถมูฟออนจากความผิดหวังจากโอกาสครั้งเก่าได้ มันอาจจะส่งผลกระทบถึงโอกาสใหม่ที่เข้ามาด้วยเช่นกัน 

ในความอับโชคด้านอาชีพนักอเมริกันฟุตบอล คีธ ยังโชคดีที่อย่างน้อย ๆ ภูมิคุ้มกันชีวิตที่ได้จากครอบครัวนั้นยังแข็งแกร่งเสมอ เมื่อไหร่ที่เขาเศร้าเขาก็แค่กลับบ้าน หลบไปพักรักษาใจ หายดีเมื่อไหร่ก็กลับมาลุยกันต่อ 

พ่อของเขา คีธ ซีเนียร์ รู้ได้ทันทีว่าลูกชายกำลังผิดหวัง แต่ด้วยความสัมพันธ์แบบลูกผู้ชายว่ากันว่า “พ่อ-ลูก” อาจจะไม่สนิทกันมากนักเมื่อลูกโตขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่พ่อพูดและแนะนำลูกชาย สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผู้เป็นพ่อคิดมาเป็นอย่างดีแล้วว่าเรื่องนี้ “ไม่พูดไม่ได้” 

คีธ ซีเนียร์ ทำงานอยู่ที่สถานีรถไฟมากว่า 20 ปี เขาใช้อาชีพนี้เลี้ยงลูก ๆ จนได้ดีมีการศึกษา เขารู้ดีว่าแม้อาชีพนี้อาจจะไม่ได้ร่ำรวย แต่มันคืออาชีพสุจริตที่สามารถมอบความสุขสบายได้ในระดับหนึ่ง และที่สำคัญคือเขารู้ด้วยว่าอาชีพนี้จะไม่ใช่อาชีพที่เป็นแค่อาชีพคั่นเวลาสำหรับลูกชายของเขา 

เขาบอกกับลูกชายว่าชีวิตคนเรามันสั้นนัก เศร้าได้แต่อย่านาน เสียใจได้แต่ต้องอย่าลืมว่าชีวิตต้องเดินต่อไป เขาแนะนำให้ คีธ ไปสมัครงานที่สถานีรถไฟในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ควบคุมชานชาลา และ คีธ ก็ตอบรับทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ประตูสู่นักฟุตบอลอาชีพปิดลงไป แต่ประตูบานใหม่เปิดขึ้นมาแล้ว เขาอยากจะหาเงินไม่ได้อยากฟูมฟายอีกต่อไป

คีธ ได้รับงานนั้น เขาทำงานอย่างน้อย 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลักษณะงานเป็นงานเข้ากะ 12 ชั่วโมง หน้าที่หลัก ๆ คือการดูแลคิวของรถไฟจัดส่งสินค้า คอยประสานงานจากฝ่ายบริหารไปสู่ฝ่ายปฏิบัติการ มองดูแล้วเป็นอะไรที่หนักพอสมควรสำหรับชีวิตของคนที่เคยเกือบเป็นนักกีฬาอาชีพ แต่น่าแปลกที่ คีธ บอกว่าเขาค้นพบบางอย่างในใจของเขาสำหรับการทำงาน 

“ผมจะไปน้อยเนื้อต่ำใจอะไร ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเลย ผมชอบการขึ้นไปนั่งอยู่บนห้องเครื่อง มีที่นั่งสองที่นั่ง มีสวิตช์นับร้อยให้คุณได้ควบคุม ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผมทั้งหมด” เขากล่าวกับ The New York Times 

ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือไม่แต่นี่คือก็งาน งานที่เขารู้สึกว่ามันอยู่ตัวและตอบโจทย์กับชีวิตเขาเป็นอย่างมาก โชคดีของการเป็นคนมูฟออนเร็วคือเขาสามารถหาความสุขให้ตัวเองเจอจนได้จากงานที่ทำ เขาเปรียบเทียบระหว่างสองงาน (อเมริกันฟุตบอล กับทำงานรถไฟ) ว่าแทบไม่ต่างอะไรกันมากนักนอกจากเรื่องค่าจ้างและชื่อเสียงความโด่งดัง เมื่อถูกหัวหน้าตามมาทำงานเขาก็ต้องลุกขึ้นมาเข้ากะ เช่นเดียวกันกับนักอเมริกันฟุตบอลถ้าถูกเรียกซ้อมด่วน นักกีฬาอาชีพเหล่านั้นก็ต้องทิ้งทุกสิ่งที่ทำอยู่แล้วรีบไปซ้อมเพื่อรักษาอาชีพของตัวเองเช่นกัน 

1 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก คีธ ปรับตัวได้ไร้ปัญหา ทว่าวันหนึ่งสายโทรศัพท์ก็ต่อตรงมาถึงเขา และปลายสายคือทีม นิวยอร์ก เจ็ตส์ ที่อยากจะได้ตัวเขาไปร่วมทีมในฐานะตัวสำรองสำหรับการแข่งขันในฤดูกาล 2010 พวกเขาอยากให้ คีธ ไปซ้อมกับทีม แต่เป็นการซ้อมที่มีค่าจ้างถึงครั้งละ 5,200 ดอลลาร์สหรัฐ … มากกว่างานปัจจุบันที่เขาทำแน่นอน แต่ คีธ คนใหม่ตอบกลับไปอย่างสงบว่า “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณมาก” 

การปฏิเสธการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลของคนที่ทำงานรถไฟกลายเป็นข่าวดังในทันที ทำไมเขาถึงกล้าทำเช่นนั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของความสุขเท่านั้น มันมีเหตุผลอื่น ๆ ประกอบด้วย

เพลย์เซฟอย่างเต็มใจ 

ในขณะที่หลายคนแปลกใจกับการตัดสินใจของ คีธ แต่คนที่อยู่รอบข้างเขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับเขา พ่อของเขารู้ว่าลูกชายชอบรถไฟมาตั้งแต่เด็ก เพราะเขากระเตงลูกไปทำงานด้วย ขณะที่ครูสมัยประถมก็บอกว่า คีธ คือเด็กที่มักจะจองของเล่นรางรถไฟเสมอ เขามีความชอบในด้านนี้เป็นพิเศษ

อีกประการหนึ่งที่ คีธ ไม่รับข้อเสนอ นั่นก็เพราะว่าสถานีรถไฟที่เขาทำงานด้วยไม่อนุญาตให้เขาลาไปซ้อมได้ หากเขาอยากจะไปซ้อมเพื่อล่าฝันการเป็นอเมริกันฟุตบอล เขาก็ต้องลาออกจากงาน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่คีธจะบอกว่า “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”

“ผมได้ยินเรื่องที่หลายคนพูดถึงผมมาเยอะ จริงอยู่ที่ตาของผมลุกวาวกับค่าซ้อมที่พวกเขาจะจ่ายให้ หลายคนบอกว่าผมโง่มากที่ตัดสินใจแบบนั้น แต่ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าผมต้องการอะไร ผมแค่มองหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมและครอบครัวเท่านั้นเอง”

“ผมไม่อยากที่จะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถและไปเสี่ยงดวงว่าพวกเขาจะจ้างผมในระยะยาวหรือไม่อีกแล้ว ผมอาจจะทำเงินได้หลักหมื่นในเวลาแค่ 2 สัปดาห์ แต่ผมคิดว่าผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมมองชีวิตของผมในระยะยาวมากกว่า” คีธ กล่าว

เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ คีธ ก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว ฟิตซ์ฮิวจ์ แล้ว เพราะพ่อของเขาอายุมากขึ้นและมีอาการป่วยจนไม่สามารถทำงานหาเงินได้อีกแล้ว เขากลายเป็นกระเป๋าเงินใหญ่ของครอบครัวนี้ สิ่งที่การทำงานในสถานีรถไฟมอบให้เขาได้คือสิ่งที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในชีวิตของเขามากที่สุด

เงินเดือนของเขาจะถูกโอนเข้าบัญชีทุกสองสัปดาห์ มีสวัสดิการที่ดูแลทั้งตัวเขาและคนในครอบครัว มีประกันที่ทำให้เขาสามารถพาพ่อไปหาหมอได้โดยไม่ต้องเครียดเรื่องเงินทองเหมือนตอนที่เขายังเด็กและต้องเสียน้องสาวของเขาไป แม้อเมริกันฟุตบอลจะเป็นอาชีพในฝัน แต่ตอนนี้เขาอยู่กับความจริงเท่านั้น และความจริงกับอาชีพพนักงานรถไฟก็ทำให้เขามีความสุขดี … ใครจะบอกว่าเขาโง่ก็ปล่อยไป เพราะเขารู้ดีว่าทุกวันนี้เขาแบกอะไรไว้บนบ่าบ้าง มันมากจนเขาไม่สามารถเสี่ยงได้อีกแล้ว 

“ผมเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้ ครอบครัวที่มอบของขวัญที่ดีที่สุดให้กับผม นั่นคือความเข้มแข็ง … ชีวิตคนเรามันสั้น คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”

“ในวันที่ผมตกงานไม่มีเงินสักเซนต์ คุณรู้ไหมใครที่ช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ครอบครัวผมนี่แหละที่อยู่ตรงนี้เสมอ ดังนั้นเมื่อผมก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ผมไม่อยากจะเสี่ยงและต้องกลายเป็นคนตกงานอีกครั้ง … ไม่ว่าใครจะพูดอะไรผมก็คิดว่าตอนนี้ผมมีงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว” คีธ กล่าวทิ้งท้าย 

Thailand Sport Magazine Sponsored
ผู้สื่อข่าว กีฬา

ข่าวกีฬา นักกีฬา กีฬา ในร่ม indoor outdoor ต้องทำ sport ให้เป็น กีฬา หลักของประเทศ ดูข้อมูล กอล์ฟ บาสเก็ตบอล ฟุตบอล ว่ายน้ำ วอลเล่ย์บอล มวย แข่งรถ แบดมินตัน และ อีสปอร์ต Dedicated to all sport news from Thailand, with news updates, stories and event reports on many different types of sporting activities that the Thailand currently holds, across all of the asia.

This website uses cookies.