แผ่นดินแห่งการต่อสู้ มีความผกผัน เปลี่ยนแปลงตลอดมา เคยรวบรวมอาณาจักรต่างๆ เข้าด้วยกัน เคยแบ่งแยก แตกตัวออกไป
มีประชากรระดับ “อัจฉริยะ” ทางวิทยาศาสตร์ เก่งเรื่องวิทยาการ ก้าวล้ำนำชาวโลก เคยส่ง “มนุษย์” ขึ้นสู่อวกาศก่อนอเมริกา ร่ำรวยด้วยทรัพยากร แร่เหล็ก เชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ
เป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึง 1 ใน 8
ชาวโลกตั้งฉายาประเทศนี้ว่า “หมีขาว” เพราะมี “หมีขาว” ที่อยู่ในถิ่นที่อากาศหนาวจัด
เป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันอันดับต้นของโลก
รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลก ทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณ 1 ใน 4 ของโลก
ผู้เขียนขอ “เจาะประเด็น” มหากาพย์สงคราม 2 ครั้ง ที่ทำร้าย ทำลายรัสเซียแทบสิ้นแผ่นดิน… ต่างเวลากันราว 130 ปี
ยุทธวิธี การรบหน่วงเวลา เพื่อให้ข้าศึก “ติดกับดักแห่งความหนาว” ได้สังหารข้าศึกให้ตายในน้ำแข็งมาแล้วนับล้าน
(ขอยกเว้นไม่กล่าวถึง การเมือง การปกครอง อาณาเขต)
มหาสงครามครั้งที่ 1 …
พ.ศ.2355 นโปเลียนที่ 1 บุกรัสเซีย… (ตรงกับช่วงต้น
รัชสมัยในหลวง ร.2 ของไทย)
ในช่วงเวลานั้น… นโปเลียนที่ 1 คือ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของทวีปยุโรป ทำศึกรบชนะสิบทิศ ต้องการ “กดดัน”
ให้รัสเซียล้มเลิกทำการค้าขายกับอังกฤษ รวมถึงเพื่อชิงดินแดนโปแลนด์มาจากรัสเซีย
24 มิถุนายน 2355 กองทัพใหญ่ (Grande Arme) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 รุกข้ามแม่น้ำเนมัน
มีกำลังพลราว 680,000 นาย (เป็นทหารฝรั่งเศสราว 400,000 นายที่เหลือเป็นทหารที่เกณฑ์มาจากอาณานิคมฝรั่งเศส)
“จุดแข็ง” ของกองทัพนโปเลียน คือ ทหารม้าที่รุกรบ บุกทะลวงไปข้างหน้า ห้าวหาญด้วยกำลังยิงทำลายล้างของปืนใหญ่
นโปเลียนกรีฑาทัพเข้าสู่ภาคตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็ว มีการปะทะครั้งใหญ่ที่เมือง “สโมเลนสค์” ในเดือนสิงหาคม…
กองทัพของฝรั่งเศสเป็นฝ่ายมีชัยในการปะทะ ฝรั่งเศสสามารถรุกไล่ คืบไปได้ต่อเนื่อง…กองทัพรัสเซีย “ร่นถอย” ทุกการปะทะ…
นโปเลียน เริ่มระแวงในยุทธวิธีของรัสเซีย ซึ่งลงทุนยอมเผาเมืองสโมเลนสค์ ให้ประชาชนอพยพ
กองทัพฝรั่งเศส…ฮึกเหิม ได้ใจ ไล่ติดตามลึกเข้าไปในแผ่นดิน
กองทัพรัสเซียในเวลานั้น หน่วยทหารที่มีชื่อเสียง คือ หน่วยทหารม้าคอสแซค (Cossacks)
แม่ทัพรัสเซียสั่งให้ “ทหารม้าคอสแซค” รบพลาง ถอยพลาง เผาทำลายหมู่บ้าน ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพื่อหวังไม่ให้กองทัพนโปเลียนมากิน-มาใช้….
ทหารของกองทัพนโปเลียนนับแสนนาย ม้านับพันตัว สัตว์ต่างๆ ที่ใช้ขนส่ง ต้องกินอาหาร ต้องการกระสุน เสื้อผ้า เริ่มเจ็บป่วย
“กลยุทธ์” ของฝ่ายรัสเซียเริ่มสร้างความยุ่งยาก
“การส่งกำลังบำรุง” (Logistics) เริ่มอัตคัด ขัดสน ระยะทางยาวไกล ความหนาวเย็นเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุม
ทหารฝรั่งเศสอดอยาก หิวโหย หนีออกจากค่ายในเวลากลางคืนเพื่อหาอาหาร ซึ่งบ่อยครั้งที่ทหารเหล่านี้ต้องถูกจับหรือถูกฆ่าตายโดยพวกทหารม้าคอสแซค
3 เดือนของ “ยุทธการร่นถอย” (Retreat Operations) ของกองทัพรัสเซียเริ่มเห็นผล…
เวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน “เข้าข้าง” ฝ่ายรัสเซีย
ผู้ใหญ่ของรัสเซียมองเห็นว่า…นี่คือการเสียดินแดน จึงรวมตัวกดดันพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ให้ปลดจอมพลไมเคิล บาร์เคลย์ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิรัสเซีย
ในที่สุด…พระองค์ก็ยินยอมแต่งตั้งจอมพล มีฮาอิล
คูตูซอฟ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ
7 กันยายน 2355 กองทัพของนโปเลียน
ราว 135,000 นาย เผชิญหน้ากองทัพรัสเซียราว 111,000 นาย ที่วางกำลัง “ตั้งรับ” อยู่เชิงเขาก่อนถึงหมู่บ้านขนาดเล็กชื่อโบโรดิโน (ประมาณ 110 กิโลเมตรทางตะวันตกของมอสโก)
ประวัติศาสตร์บันทึกว่า… วันนั้น…มีทหารเสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่ายรวมกว่า 70,000 นาย ทหารรัสเซียที่เหลือ
ถอยไปตั้งหลักในมอสโก
แม่ทัพรัสเซีย…ยังไม่ยอมจำนนต่อนโปเลียน
14 กันยายน 2355 นโปเลียนเคลื่อนกำลังไปถึงกรุงมอสโก
อ้าวเฮ้ย! …มอสโก กลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนเกือบทั้งหมดอพยพออกไปก่อนแล้ว นอกจากนี้… ข้าหลวง
กรุงมอสโกยังแอบซ่องสุมคนส่วนหนึ่งไว้ในมอสโก อาศัยจังหวะที่ฝ่ายฝรั่งเศสเผลอทำการวางเพลิงทั่วเมือง…
“มอสโกกลายเป็นกองเพลิงขนาดยักษ์”
กองทัพนโปเลียนที่เข้ายึดมอสโก หลบความหนาวในอาคารต้องใช้เวลากว่า 6 วันดับไฟ
แม่ทัพนโปเลียน…ประกาศขออยู่ในมอสโก เพื่อรอให้รัสเซียประกาศยอมแพ้ตามธรรมเนียม “การเสียเมืองหลวง”
ฝรั่งเศสและรัสเซียต่างรู้ดีว่า “ฤดูหนาว” เป็นเพชฌฆาตโหด
ทหารฝรั่งเศสปักหลักอยู่ในมอสโกราว 1 หนึ่งเดือนเศษ อยู่กับความว่างเปล่า ความหนาวสุดขั้วหัวใจ เรื่องเสบียงอาหารคือ วิกฤต
นโปเลียนตัดสินใจนำทัพออกจากมอสโกไปยังเมืองคาลูกาทางตะวันตกเฉียงใต้
ระหว่างทาง มีการปะทะ รัสเซียสู้พลาง ถอยพลาง ยื้อเวลา สร้างสถานการณ์ให้ทหารนโปเลียนต้อง “รบติดพัน”
ในสนามรบ…ความหนาว คือ ยมทูตที่พูดไม่รู้เรื่อง
จอมยุทธ์ นโปเลียน ทนเห็นสภาพกองทัพที่กำลัง “สูญเสีย-สาหัส” จากความหนาว ทหารไม่พร้อม จึงสั่งถอยจากนรกบนดิน
ทหารฝรั่งเศสจมปลัก ติดอยู่ในน้ำแข็ง วันแล้ว-วันเล่า ทหารและม้า แสนทรมานหนาวตาย อดตาย หมดสภาพกำลังรบ
กองทัพรัสเซียตามรังควาน ไม่ต้องยิงก็ตายด้วยความหนาว
ทหารต้อง “กินเนื้อม้า” ที่ตายในระหว่างทางที่ถอยกลับ
ในเดือนพฤศจิกายน 2355 ในวันที่กองทัพถอยกลับ ข้ามแม่น้ำเบเรซีนา เหลือทหารราว 27,000 นาย ทหารเมืองน้ำหอมมาตายในน้ำแข็งของแดน “หมีขาว” ราว 380,000 นาย ที่เหลือตกเป็นเชลยศึก
ซากศพทหารนอนตายบนน้ำแข็ง เกลื่อนแผ่นดินหมีขาว
12 ธันวาคม 2355 นโปเลียนนำทัพฝรั่งเศสที่สะบักสะบอม หมดสภาพ… ออกจากแผ่นดินรัสเซีย…
มหากาพย์ “ตายในน้ำแข็ง-ถิ่นหมีขาวครั้งที่ 2”
1 กันยายน 2482 ฮิตเลอร์สั่งทหารบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ…ถือเป็นจุดเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป
กองทัพนาซีบุกตะลุย ปราบเรียบ มีชัยในทุกสนามรบ
ยุทธการปฏิบัติการ บาร์บาร็อสซา (Operation Barbarossa) เป็น ชื่อรหัสลับในการบุกโซเวียต
22 มิถุนายน 2484 จอมโหดฮิตเลอร์ช็อกโลกอีกครั้ง…สั่งกองทัพนาซีบุกเข้าดินแดนโซเวียต (ขณะนั้น คือ โซเวียต) จากทางทิศตะวันตก เพื่อหาพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินใหม่ให้กับชาวเยอรมัน
อากาศเดือนมิถุนายน กำลังอบอุ่น สบายๆ
กองทัพนาซีเข้ายึดบ่อน้ำมันสำรองบนเทือกเขาคอเคซัส รวมทั้งทรัพยากรทางเกษตรกรรม และดินแดนต่างๆ ของโซเวียต
ใช้กำลังทหารเกือบ 3 ล้านนาย เป็นการปฏิบัติการทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ฮิตเลอร์ มีความเกลียดฝังใจกับ “ชาวยิว” และ “ชาวสลาฟ” (Slavs) ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินโซเวียต… นโยบาย คือ จับมาเป็นทาส จะเอาไปเป็นแรงงาน (ในสมัยยุคกลางของยุโรป ชาวสลาฟถูกจับตัวไปเป็นทาสจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษว่า slave ที่แปลว่า “ทาส”)
นาซีทำตามอุดมการณ์ของพรรค…คือ “เพื่อยุติการปกครองของชาวยิวในรัสเซีย… กำจัดรัสเซีย”
มอสโกต้องศิโรราบต่อเยอรมันใน 3 เดือน
แผนการบุกโซเวียต คือการแบ่งกองกำลังออกเป็น 3 “เส้นหลักการรุก” (Axis of Advance)
เส้นหลักการรุกด้านเหนือหรือ “กองทัพเหนือ” จะรุกผ่านดินแดนรอบทะเลบอลติก โดยทำการยึดหรือทำลายเมืองเลนินกราด (คือ เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน)
ส่วนกองทัพ “เส้นกลาง” ถูกมอบหมายให้มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองสโมเลนสค์ แล้วทำการยึดมอสโก โดยเคลื่อนกำลังผ่านเบลารุส
“กองทัพทางใต้” ต้องบุกยึดยูเครน ที่เป็นศูนย์กลางทางเกษตรกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โดยยึดเมืองเคียฟ (ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงยูเครน)
กองทัพนาซี มีอำนาจกำลังรบเหนือกว่าโซเวียตหลายขุม
ความรวดเร็วของการบุก ทำให้กองทัพแดงของโซเวียตแตกพ่าย
ปลายฤดูใบไม้ผลิในปี 2484 เริ่มมีฝนตก ถนนหลายสายไม่สามารถขับรถบรรทุกและยานเกราะผ่านไปได้
กองทัพนาซีรุก…ลึกเข้าไปในดินแดนโซเวียต… ระยะทางการส่งกำลังบำรุงของเยอรมันเริ่มยาวไกล… มีอุปสรรค
เดือนสิงหาคม กองทัพโซเวียตเริ่มตั้งหลักได้…เกิดการต่อต้านอย่างดุเดือด…การรุกคืบหน้าเริ่มชะงัก
การสู้รบนองเลือด ณ สมรภูมิเมืองเลนนินกราด เยอรมันปิดล้อมเมืองนาน 872 วัน เป็นการปิดล้อมที่ยาวนานที่สุดและการทำลายล้างมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
กองทัพเยอรมันพุ่งทะยานเข้าสู่มอสโก อากาศช่วงเดือนพฤศจิกายน ทหารต้องเผชิญกับความหนาวจัด ณ อุณหภูมิติดลบ 45 องศาเซลเซียส กองทัพเยอรมันเริ่มอ่อนกำลังจากความหนาวจัด
กำลังของเยอรมันส่วนหน้าสุด…วางกำลังห่างจาก มอสโกเพียง 30 กิโลเมตร ถูกยับยั้งไว้ได้ในสภาพที่อิดโรย ขาดแคลน
กองทัพแดงของโซเวียตเริ่มตีโต้ตอบ ประชาชนนับแสนจับอาวุธ เน้นการใช้ “สไนเปอร์” ผู้หญิงรัสเซีย คือมือสังหารชั้นยอด
3 เส้นหลักการุกของฮิตเลอร์อ่อนกำลัง เยอรมันเริ่มสูญเสีย
ยุทธการกรุงมอสโก (Battle of Moscow) คือ ความกล้าหาญ ความรักแผ่นดินเกิดที่โลกยกย่อง ชาวรัสเซียสู้ยิบตา
กองทัพเยอรมันอ่อนล้าและผิดพลาดหลายครั้ง
ภายใต้การบังคับบัญชาของฮิตเลอร์ที่ “ปลดแม่ทัพ” แล้วเข้ามาบัญชาการเอง
2 ตุลาคม 2484 ฮิตเลอร์สั่งปรับกำลังใหม่ ใช้แผนปฏิบัติการชื่อ “ไต้ฝุ่น” บุกมอสโก ในขณะที่พื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด
กองทัพโซเวียต ระดมกำลังทหารมาเสริมได้นับแสน ป้องกันมอสโก กองทัพแดงระดมปืนใหญ่มาใช้อย่างถูกที่ ถูกเวลา
5 ธันวาคม 2484 โซเวียตได้เปิดฉากโจมตีโต้ตอบ ใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มเป็นหลัก… เยอรมันถูกบังคับให้ถอยหนีแบบหมดสภาพ
ถูกจับเป็นเชลยนับหมื่นนาย
7 มกราคม 2485 กองทัพนาซีเยอรมันได้รับคำสั่งให้ถอนกำลัง ล่าถอยออกจากแนวรบรอบกรุงมอสโก ออกจากแผ่นดินโซเวียต
ศพทหารนาซีเยอรมัน นอนตายเกลื่อนพื้นน้ำแข็งนับหมื่น ซ้ำรอยที่กองทัพนโปเลียนต้องพ่ายแพ้มาเมื่อศตวรรษที่แล้ว
ความหนาวจัดในแดนหมีขาวนาน ราว 8 เดือน ทหารนาซีเยอรมันต้องเสียชีวิตไปกว่า 600,000 นาย ในขณะที่ทหารสหภาพโซเวียตเสียชีวิตจากการปกป้องกรุงมอสโกมากกว่า 1 ล้านนาย
ความล้มเหลวในการยึดกรุงมอสโก เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กองทัพนาซีเยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ความพ่ายแพ้…ที่พรากชีวิตทหารและประชาชนไปมากกว่า 25 ล้านคน คือ ประวัติศาสตร์ที่โลกประณามหยามเหยียด
ก่อนบุกโซเวียต…ฝ่ายเสนาธิการจำนวนหนึ่ง “ขอคัคค้าน” หากแต่ ฮิตเลอร์ที่เพิ่งบดขยี้ เอาชนะฝรั่งเศสมาได้ กล่าวว่า…
“เรา (กองทัพเยอรมัน) แค่เตะ ที่ประตูหน้าบ้าน (โซเวียต) เท่านั้น และอาคารที่เน่าเสียทั้งหมดจะพังทลายลงเอง”
2 มหากาพย์แห่งสงครามที่ “หมีขาว” ถูกบดขยี้แสนสาหัส บ้านเมืองป่นปี้ แต่ก็เอาชนะมาได้ด้วย “กลยุทธ์” ปิดล้อม หน่วงเวลาให้หนาวตาย…ได้ผลจริง
ถ้ายังไม่รู้จัก “หมีขาว” ดีพอ ขอให้อ่านประวัติศาสตร์ตรงนี้
รัสเซีย คือ 1 ในมหาอำนาจของโลก…
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก