ภาพแห่ง “ปฏิบัติการพิเศษ” ทางทหารของรัสเซียในสงครามยูเครนกำลังเป็น “บทเรียน” อันทรงความหมายยิ่งต่อ “โลก”
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อสังคมไทย
เริ่มจากการปูพื้นในทางความคิดที่ว่า ไม่เคยมีการดำรงอยู่ของ “ยูเครน” ในฐานะอันเป็น “รัฐชาติ” หรือ “ประเทศ”
ยิ่งสถานะแห่ง “เซเลนสกี” ยิ่งเป็น “ศูนย์”
เป็นศูนย์จากความเป็น “ตัวตลก” เป็น “ดารา” เมื่อดำรงอยู่อย่างเป็นดาราและเป็นตัวตลก จึงเป็นการดำรงอยู่อย่างไร้ตัวตน
เหมือนกับสถานะแห่ง “ยูเครน”
คำโฆษณาชวนเชื่อจากอำนาจรัฐปูตินจึงวางรากฐานอยู่ที่ความไม่มี “สถานะ” และเมื่อทหารรัสเซียกรีฑาทัพเข้าไป
ก็จะได้รับ “ช่อดอกไม้” จากชาวยูเครน
ถามว่าความเชื่อเช่นนี้มีรากฐานมาจาก “สมมุติฐาน” อะไรในทางการเมืองของเหล่าเสนาธิการที่สุมหัวกันอยู่ในวังเครมลิน
มาจากการเป็น “ฝ่ายธรรมะ” ของตน
การกรีฑาทัพเข้าไปในยูเครนคือการแสดงบทบาทในการ “ปลดแอก” มิให้ยูเครนต้องกลายเป็นสมุนบริวารของ “ตะวันตก”
ดึงยูเครนเข้ามาอยู่ใน “อ้อมอก” อันอบอุ่น
รัสเซียจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่าจะสามารถพิชิตศึกทำให้อำนาจรัฐเซเลนสกีศิโรราบภายในเวลาเพียง 2 หรือ 3 วัน
ความเชื่อมั่นนี้กลายเป็นความเชื่อมั่นหลัก
แต่แล้วเมื่อเวลาในการทำศึกผ่านไปจาก 3 วัน เป็น 30 วัน ก็ยังไม่สามารถทำให้ยูเครนยอมศิโรราบอยู่ภายใต้ท็อปบู๊ตได้
เป้าหมายที่เสกปั้นจึงพังครืนราวปราสาททรายต้องคลื่น
จากนั้น ปฏิบัติการ “โกหก” ซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงเกิดขึ้นและตามมากลายเป็น “ยุทธการ” แห่งการแก้ตัวครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก
นับแต่การปล่อยข่าวเรื่องเซเลนสกี “หนี”
ก็จำเป็นต้องสร้างเรื่องว่า มีการทำบังเกอร์ “ลับ” ให้เซเลนสกีหลบซ่อนอยู่ในประเทศข้างเคียงอย่างแน่นหนา
ภายใต้คำบงการของ “ตะวันตก”
เมื่อจำเป็นต้องถอยออกจากแนวรบโดยรอบกรุงเคียฟ และปรากฏภาพซากปรักหักพังพร้อมกับศพนับร้อยนับพัน
ก็โยนว่าเป็นฝีมือของ “ยูเครน” มิใช่ “รัสเซีย”
การโกหกอาจเริ่มขึ้นที่ “เครมลิน” แต่ก็กลายเป็นโรคระบาดแพร่ขยายไปในหมู่ของกลุ่มนิยมปูตินในระดับสากล
เล่นบทนักโกหกจาก “คำเล็ก” กลายเป็น “คำโต”
หากมองสถานการณ์สงครามที่เริ่มจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นสงครามในทางความคิด ในทางความเชื่อ
เด่นชัดยิ่งว่า “รัสเซีย” อยู่ในสถานะ “ตั้งรับ”
ถูกรุกจาก “ยูเครน” โดยฝีมือการเคลื่อนไหวอย่างเอาการเอางานของ “เซเลนสกี” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แปรจาก “รับ” กลายเป็น “รุก”