มีเรื่องทุกครั้ง โกรธเคืองเรื่องไรกัน ระหว่างแฟนบอล ผู้ดี-สกอต – ข่าวสด

หลังเกมลูกหนังยูโร 2020 คู่ระหว่าง อังกฤษ ลงเอยด้วยการเสมอ สกอตแลนด์ 0-0 มีข่าวฮูลิแกนแฟนบอลก่อความวุ่นวายตามสไตล์ลูกหนังแดนสิงโตคำรามตามระเบียบ ครั้งนี้ มีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมแฟนบอลสกอตผู้ก่อเหตุหลายราย

หากฟื้นฝอยสอยตะเข็บ อยากรู้สาเหตุ ความบาดหมางของสองชาติที่พูดภาษาเดียวกันมีความเป็นมาอย่างไร คงอธิบายเพียงคร่าวๆได้ตามนี้

นับแต่อดีต มีมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.122 อันเป็นช่วงจากยุคอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ บุกยึดเกาะบริเทน เข้าปกครองทางตอนใต้ แต่ไม่สามารถควบคุมดินแดนทางเหนือของเกาะอันเป็นถิ่นชาวสกอตได้อย่างเด็ดขาด

จักรพรรดิฮาดริอานุส ของโรมัน จึงสร้างกำแพง “เฮเดรียน วอลล์” เพื่อแบ่งแยกเขตแดนอังกฤษกับสกอต เพื่อป้องกันคนเถื่อนทางเหนืออย่างพวกนอร์ธแมน ที่จะข้ามมารุกรานอีกด้วย

เมื่อกำแพงยักษ์ดังกล่าว (ระดับน้องๆกำแพงเมืองจีน) ถูกสร้างขึ้น เปรียบเสมือนไฟประทุในใจเริ่่มก่อตัวให้เห็นปานว่า ชาวอังกฤษจะมองคนสกอต เป็นพวกคนเถื่อนไม่อยู่ภายใต้ชนชาติที่มีอารยธรรมอย่างโรมัน (เหมือนจีนฮั่น มองพวกมองโกล แมนฯจู ชนเผ่าเร่ร่อน ฯลฯ เป็นพวกนอกด่าน ไร้อารยะ)
ขณะที่ ชนชาติวิสกี้(ชั้นดี) อย่างสกอต ก็มองว่า กำแพงยักษ์ดังกล่าว มันคือด่านภาษีรีดนาทาเร้นชาวนาของตน เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง เสริมส่งบารมีความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน (ศูนย์กลางอิตาลียุคนั้น)

ล่วงถึงยุค ปี ค.ศ. 1296 เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ของอังกฤษ ยกทัพโจมตีสกอตแลนด์ บีบให้กษัตริย์จอห์นสละราชสมบัติ และสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น ผู้มีอำนาจปกครองแห่งสกอตแลนด์ พร้อมฉายาจากชาวอิงแลนด์ว่า “ผู้ปราบสกอต”

พล็อตเรื่องนี้ จะเข้าสู่เส้นทางทำเงิน ตามภาพยนตร์อภิมหาตลอดกาลของฮอลลีวู้ดเรื่อง “เบรฟฮาร์ด”
นำมาสู่การรวมตัวต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ที่ หัวหน้ากบฏชาวนาอย่าง “เมล กิบสัน” (พระเอก) ในบท “วิลเลียม วอลเลส” เปล่งเสียงสุดหัวใจก่อนสิ้นลมหายใจสุดท้ายว่า “ฟรีดอมมมมมม” นั่นเอง !!
แม้ภาคแรกกบฏสกอตชาวนาจะพ่ายแพ้ล้มเหลว เพราะมีไส้ศึกหักหลังกันเอง แต่ภาคต่อมา (จำชื่อหนังไม่ได้แล้ว) ราชาโรเบิร์ต เดอะ บรูซ ก็ละอายใจและคิดได้ จึงรวมคนลุกขึ้นต่อสู้และเอาชนะ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ในสมรภูมิที่ น็อกเบิร์น ปี 1214 นำพาซึ่งการเจรจายุติสงครามในปี 1328 สมัย เอ็ดเวิร์ดที่ 3

ทิ้งช่วงขัดแข้งยาวนานเกือบสองร้อยปี ถึง ปี 1512 พระเจ้าเจมส์ที่ 4 แห่งสกอตแลนด์ จึงกรีฑาทัพบุกอังกฤษบ้าง เป็นการฉวยโอกาสระหว่าง คิงส์ เฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษ ยกทัพไปบุกฝรั่งเศสคู่รักคู่แค้น
แต่เรื่องไม่ง่าย เมื่อเกมพลิก พระเจ้าเจมส์ที่ 4 รบแพ้แถมสิ้นพระชนม์ที่ ทุ่งโฟลดเดน สกอตแลนด์ปราชัยในเวลารวดเร็ว นับแต่นั้นมาสองชาติยังคงเคียดแค้นชิงชัง จนมาถึงยุค ควีนเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีรัชทายาท ในปี 1603 ด้วยพระนางถือตนผู้ทรงพรหมจรรย์ ทำเอาราชวงศ์ทิวดอร์แทบสูญสิ้น

ราชบัลลังก์ตกไปอยู่กับ พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ผู้สืบเชื้อสายห่างๆจากราชวงศ์ทิวดอร์ จึงขึ้นครองราชย์เป็น “พระเจ้าเจมส์ที่ 1” แห่งอังกฤษ ถือเป็น กษัตริย์พระองค์แรกที่รวมรวมราชบัลลังก์ทั้ง อังกฤษ สกอตแลนด์ และ ไอร์แลนด์ เป็นหนึ่งเดียวสามัคคีกัน
ทว่าต่างยังดำรงสถานะเป็นรัฐอธิปไตยไม่ขึ้นแก่กัน แม้กระนั้นในความรู้สึกของชาวสกอต นักรบผู้ชอบนุ่งกระโปรงและมีปี่เฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ ยังคงเคียดแค้นชิงชังผู้ดีชาวอังกฤษเสมอมา เพราะมองว่า ตนเองเปรียบเหมือนพลเมืองชั้นสองบนเกาะบริเทนแห่งนี้

หลังสิ้นสุดยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2 รูปเกมการต่อสู้เปลี่ยนแปลงไป จากเคยเคียงคู่เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร จนรบชนะอักษะ (เยอรมัน) สองเชื้อชาติบนเกาะใหญ่บริเทน ยังคงหันมาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กัน
หากคุณเป็นคนแปลกหน้า คิดไปท่องเที่ยวอังกฤษ มักจะได้ยินข้อห้ามเสนอแนะ ว่าอย่าชวนคุยเรื่องการเมืองและเชื้อชาติ
ปัจจุบัน แม้จะเลิกจับอาวุธเข่นฆ่า แต่พวกเขากลับมายึดเกมกีฬาต่างๆ อาทิ อย่าง “ฟุตบอล” เป็นตัวแทนในการทำสงครามกัน
ความรุนแรงเทียบได้กับเหตุการณ์ในปี 1977 เมื่อ ทีมสกอตแลนด์ บุกมาพิชิต สิงโตคำราม 2-1 ถึงสนามเวมบลีย์ ความสะใจหลังเกมที่แฟนบอลแดนวิสกี้นับหมื่นเฮโลลงไปในสนาม พังสนามหญ้า ขุดดิน ลุกลามถึงขนาดพังประตูและคิดจะยกเสาโกล์กลับบ้านเป็นที่ระลึกด้วยซ้ำ !!

ว่ากันว่า นั่นเป็นที่มาของประเพณี ที่แฟนบอลชอบแห่ลงไปในสนามจนกลายเป็นตำนานสืบมาถึงปัจจุบัน ยังไม่รวมถึงความเคียดแค้นชิงชังทุกครั้งที่สองทีมต้องโคจรมาพบกันในทัวร์นาเม้นต์สำคัญๆต่างๆ รวมจนถึงเกมลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป เข้าตำราที่ว่า “บอลแพ้คนไม่แพ้ว้อยยย…!!”
อย่างเกมส์ล่าสุด ในศึกยูโร 2020 แม้ใครหลายคนอาจมองว่า เกมส์จบลงด้วยสกอร์ 0-0 ทว่าหากใครได้ชมครบ 90 นาที จะรู้ว่า เหตุใด ขุนพลลูกหนังทั้งสองทีมจึงใส่เกียร์บุกสไตล์บวกกันแทบยับ ราวกับทำสงครามลูกหนังฮั่มหั่นกันเพียงนั้น
นั่นก็เพราะเป็นศึกด้วยศักดิ์ศรี จึงมีสาเหตุที่มา ด้วยประการฉะนี้…แล